รู้หรือไม่ว่า...ประเทศออสเตรเลีย นอกจากที่จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและหลากหลายแล้ว ในหลายที่เอง ยังได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์จนถูกขึ้นทะเบียนให้เป็น
มรดกโลก (World Heritage Site) จากองค์กร
UNESCO มากถึง 20 แห่งเลยทีเดียว นอกจากเหตุผลด้านความสวยงาม หรือความโดดเด่นทางด้านภูมิศาสตร์อย่างไม่มีที่ไหนบนโลกแล้ว ยังมีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อมวลมนุษย์เลย ในวันนี้ขอคัด 5 สถานที่มรดกโลกที่น่าสนใจในประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทาง เรามาทำความรู้จักสถานที่เหล่านี้กันว่ามีที่ไหนบ้าง
Uluru-Kata Tjutaที่มาภาพ : pixabay.comโขดหินทรายที่ตั้งอยู่ใจกลางประเทศอันร้อนระอุ ตั้งอยู่ในรัฐ
Northern Territory เป็นแลนด์มาร์คที่ผู้คนต่างคุณเคยกัน จากหน้าโปสเตอร์หรือของชำร่วยต่างๆ นักโบราณคดีเชื่อว่าที่แห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่บริเวณรอบมาตั้งแต่ 10,000 ปีก่อน และที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาว Aboriginal ที่ต่างให้ความเคารพมาอย่างยาวนาน และเชื่อว่าเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของบรรพบุรษ ดังนั้นการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวจุดนี้ ควรไปด้วยความเคารพและไม่ทำลายพื้นที่ หากพูดถึงลักษณะภายนอก Uluru คือโขดหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูงถึง 348 เมตร เส้นรอบวงที่ฐานวัดได้ 9 กิโลเมตร ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1987 หากสนใจอยากท่องเที่ยวนั้นไม่ยาก สามารถใช้บริการแพกเก็จทัวร์ท่องเที่ยว หรือจะเดินทางไปเองด้วยเครื่องบินลงที่สนามบิน
Alice Springs และเช่ารถขับไปก็ได้เช่นกัน สิ่งที่ต้องไปทำนอกจากเยี่ยมชมสถานที่โดยรอบแล้ว อยากให้ลองไปในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก โดยมีฉากด้านหน้าเป็นโขดหินสีน้ำตาลที่เฉดสีเปลี่ยนไปตามเวลา โรแมนติกและสวยงามสุดๆเลยทีเดียว
Royal Exhibition Building และ Carlton Gardensที่มาภาพ : whatson.melbourne.vic.gov.auอาคารสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิก ตั้งอยู่ใจกลางเมือง
Melbourne ในรัฐ
Victoria หากแปลเป็นไทย คงต้องเรียกอาคารนี้ว่า “อาคารนิทรรศการหลวง” นี่คืออาคารแห่งแรกในออสเตรเลีย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของประเทศเมื่อปี 2004 ที่ผ่านมา อาคารแห่งนี้ถูกสร้างเมื่อปี ค.ศ.1880 ในสไตล์ Gothic เริ่มต้นใช้งานเป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการ ต่อมาถูกเปลี่ยนมาเป็นอาคารรัฐสภาในปี ค.ศ.1901 โดยรอบอาคารรายล้อมด้วยการแต่งสวนสไตล์ยุโรปอย่าง
Carlton Gardens อันเขียวขจี โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิในช่วงนี้ ที่ผู้คนทั่วไปสามารถมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ท่ามกลางบรรยากาศสุดร่มรื่น การเดินทางก็แสนง่าย หากอยู่ในตัวเมือง Melbourne ก็สามารถนั่งรถราง (Tram) จากตัวเมืองได้เลย
แนวปะการัง Great Barrier Reef ที่มาภาพ : api.time.comเราอาจคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ว่า เป็นแนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลกมาตั้งแต่บนหน้าหนังสือเรียน นอกจากที่นี่จะมีขนาดพื้นที่ใหญ่ และถูกขึ้นทะเบียนเมื่อปี 1981 แล้ว ยังมีความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่
Great Barrier Reef คือแหล่งรวมปะการังมากถึง 400 ประเภท มีปลาแหวกว่ายมากกว่า 1,500 สปีชีส์ และมีเกาะมากถึง 600 เกาะ แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตบางประเภทมีแค่เฉพาะที่นี่ แต่ด้วยปัญหาทางสภาพอากาศอย่างสภาวะโลกร้อน ที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลอุ่นขึ้น ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังและระบบนิเวศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาปะการังฟอกสี น่าเศร้าว่า 2 ใน 3 ของแนวปะการัง ได้กลายเป็นปะการังตาย หากใครมีโอกาสแนะนำว่าให้ลองไปดำน้ำ Scuba Diving ที่นี่ ก่อนที่ความสวยงามจะสูญหายไปตามกาลเวลา หากพูดถึงการท่องเที่ยว สามารถเดินทางได้จาก Brisbane โดยลงที่สนามบิน Crains และมองหาแพกเกจทัวร์ได้เลย หรือจะจัด Road Trip จาก Brisbane เองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน
Macquarie Islandที่มาภาพ : parks.tas.gov.auใครมองหาการท่องเที่ยวแบบใหม่อยู่ล่ะก็ พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศระหว่างประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ทั้งห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ ใกล้กับขั้วโลกใต้เหมือนได้ไปเยือนอีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้ ที่นี่ถูกลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกมาเมื่อปี 1992 มีความพิเศษตรงที่พื้นผิวบนเกาะนั้นไม่เหมือนกับพื้นผิวเกาะแห่งไหนบนโลก เพราะเป็นเนื้อหินที่เรียกว่า
Mentle ซึ่งเป็นชั้นหินใกล้กับแกนกลางของโลก ได้ดันตัวขึ้นมาเป็นพื้นที่เกาะแห่งนี้ ส่งผลให้สภาพภายนอกและระบบนิเวศ ดูแตกต่างจากผืนดินที่เราเหยียบในทุกวัน แน่นอนว่าบนเกาะนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ถาวร มีแต่นักวิจัยเข้าไปสำรวจพื้นที่ตามฤดูกาล ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 3 องศาเซลเซียส เกาะแห่งนี้ได้กลายเป็นหมุดหมายสำหรับใครที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับขั้วโลก สามารถชมระบบนิเวศ หรือวิถีชีวิตของเพนกวินและแมวน้ำบนเกาะ ดังนั้นการเดินทางจึงมีวิธีเดียว คือทางเรือ ที่ต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน กว่าจะถึงจุดหมาย สามารถเดินทางได้ทั้งจากเกาะ
Tasmania หรือประเทศนิวซีแลนด์
ที่มาภาพ : responsibletravel.comFraser Islandที่มาภาพ : en.wikipedia.org/wiki/K%27gariที่มาภาพ : fraser-tours.comอีกหนึ่งเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่ในรัฐ
Queensland ใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบ Camping ล่ะก็ ที่นี่เป็นที่จุดที่สามารถเดินทางได้จากตัวเมือง Brisbane ได้
Fraser Island คือเกาะทรายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีความยาวไกลถึง 122 กิโลเมตร เกาะขนาดใหญ่ขนาดนี้เกิดจากการทับถมทราย พัดพาเข้ามาอย่างยาวนานถึง 750,000 ปี จากสันทราย เกิดเป็นเกาะทรายที่มีระบบนิเวศบนเกาะเป็นของตัวเอง แตกต่างจากเกาะทั่วไป เช่นการที่บนเกาะมีบ่อทะเลน้ำจืดมากกว่า 100 แห่ง หรือ
Dingo สัตว์นักล่าประจำเกาะ ที่ภายนอกน่ารักเหมือนสุนัข แต่มีความดุร้ายดั่งหมาป่า และยังมีแบคทีเรียบางชนิดอยู่ใต้ผืนทรายแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ทำให้ที่นี่เป็นจุดเดียวบนโลกที่ป่าดิบชื้นสามารถเติบโตบนพื้นทรายได้ จุดท่องเที่ยวยอดนิยมบนเกาะที่อยากแนะนำ ก็ได้แก่
ทะเลสาบ Mckenzie ซึ่งทรายที่มีส่วนผสมของซิลิกา เป็นจำนวนมาก ทำให้มีความขาวนวลละเอียดกว่าทรายที่ไหนๆ และยังมีความพิเศษที่หลากหลายนี้เอง ทำให้เกาะแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1992 นั่นเอง
ที่มาภาพ : en.wikipedia.org/wiki/Lake_McKenzieถึงแม้สถานการณ์ COVID-19 ในแต่ละพื้นที่ยังคงไม่แน่นอน ทำให้คนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติเอง ต่างเฝ้ารอการกลับมาท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวระดับมรดกโลก ซึ่งยังคงต้องรอดูสถานการณ์กันต่อไป แต่อย่างน้อยก็บันทึกสถานที่เหล่านี้ลงใน Check List การท่องเที่ยวของเรากันล่วงหน้า ไว้ทุกอย่างพร้อม ก็สามารถออกไปท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย