แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - พา-ลา-เล่น

หน้า: 1 [2] 3
16



เป็นเวลากว่าสองปี ที่เราต่างไม่มีโอกาสบินกลับประเทศไทยเพื่อพบปะคนในครอบครัว จนถึงวันนี้แม้ว่าโรคระบาด Covid-19 ยังอยู่รอบตัวเรา แต่ชีวิตต้องเดินต่อ หลายๆประเทศกลับมาต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ รวมถึงประเทศไทยด้วยเช่นกัน เป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้กลับบ้านไปกอดคนที่บ้านให้หายคิดถึง รวมถึงไปกินอาหารไทย ซื้อของใช้ในไทยที่เราคุ้นเคย และเชื่อว่าก่อนจะกลับบริสเบน หลายคนแพลนที่จะซื้อของจากไทยกลับไปมากมาย ทั้งของอุปโภคบริโภค แต่ช้าก่อน! ไม่ใช่สินค้าทุกอย่าง จะสามารถนำเข้าออสเตรเลียได้อย่างถูกกฎหมาย วันนี้เราจะมาแนะนำสินค้าต้องห้าม(นำเข้า)ออสเตรเลีย เช็คของในกระเป๋าเดินทางของตัวเองก่อนให้เรียบร้อย เพื่อการเดินทางอย่างสบายใจ ไร้กังวล


ที่มาภาพ : unsplash.com/@jeshoots

หลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมประเทศนี้ถึงห้ามนำเข้าสินค้ามากมาย ทั้งที่ประเทศก็แสนจะกว้างใหญ่ เปิดรับผู้คนมากมาย แต่ด้วยลักษณะประเทศที่เป็นเกาะ ซึ่งมีความหลากหลายและความแตกต่างทางชีวภาพมากกว่า เมื่อเทียบกับพื้นที่อื่นๆ การนำเข้าสินค้าชีวภาพจากต่างถิ่น โดยเฉพาะของสด มีความเสี่ยงที่จะนำพาเชื้อโรคใหม่เข้ามา อาจส่งผลกระทบต่อระบบชีวภาพ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศ สามารถเกิดกลายพันธุ์หรือเกิดโรคระบาดใหม่ก็เป็นได้ อย่างเหตุการณ์เล็กๆที่เคยเกิดขึ้นในควีนส์แลนด์ นักท่องเที่ยวแอบนำมะละกอสดเข้าประเทศ ซึ่งภายในมีแมลงวันผลไม้ จากจุดเริ่มต้นเล็กๆนี้ กระทบต่อความเสียหายวงกว้างมากถึง 20 ล้าน AUD เพียงแค่ศัตรูพืชตัวจิ๋วเข้ามารุกรานในประเทศ


ที่มาภาพ : unsplash.com/@anete_lusina

ดังนั้นจึงเป็นเหตุว่าทำไมด่านตรวจคนเข้าเมืองถึงค่อนข้างเข้มงวดต่อการนำเข้าสินค้า หรือแม้กระทั่งการตัวผู้เดินทาง หากมีการเปื้อนโคลน ดิน ทรายติดมาจากการท่องเที่ยวป่า ก็ห้ามเข้าประเทศด้วยเช่นกัน ประกอบกับการเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ ยิ่งต้องเข้มงวดกันเป็นพิเศษ หรือการนำเข้าสิ่งที่ผิดกฎหมาย ทั้งอาวุธและสิ่งเสพติด ก็สามารถเป็นเหตุให้เกิดอาชญากรรมได้ในประเทศ

สินค้าบริโภคต้องห้าม


ที่มาภาพ : unsplash.com/@jimmydean


ที่มาภาพ : unsplash.com/@roberto_sorin

  • ของสดต่างๆ อาทิเช่น เนื้อสด, ผักสดผลไม้, อาหารทะเล ฯลฯ
  • สินค้าประเภทนม หรือ มีส่วนประกอบของนม เช่น ชีส, เนย ฯลฯ
  • อาหารที่มีส่วนประกอบของเมล็ดพืชต่างๆ เช่น ซีเรียล, ข้าว, ถั่วต่างๆ ฯลฯ
  • ผลิตภัณฑ์ที่มีเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ เช่น อาหารสัตว์ ฯลฯ
  • ยาที่มีส่วนประกอบของสเตอร์รอยหรือสมุนไพร หากมีความจำเป็นต้องใช้ จำเป็นต้องมีใบรับรองแพทย์ ซึ่งอยู่ที่ดุลยพินิจของเจ้าหน้าที่อีกครั้ง (ส่วนยาประจำตัวทั่วไป เช่น พาราเซตามอล, แอสไพริน ที่สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาในออสเตรเลีย สามารถนำเข้าได้เพื่อใช้ส่วนตัว)
  • สารเสพติดต่างๆที่ผิดกฏหมาย ได้แก่ กัญชา เฮโรอีน โคเคน แอมเฟตามีน
  • อาหารแห้งต่างๆ เช่น อาหารกึ่งสำเร็จรูป, ผักผลไม้แห้งหรืออาหารแปรรูป สามารถนำเข้าได้แต่ต้องสำแดง (Declair) กับเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าประเทศ

สินค้าอุปโภคต้องห้าม


ที่มาภาพ : unsplash.com/@thdef


ที่มาภาพ : unsplash.com/@s1winner

  • ปืนและอาวุธต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นปืนจริงหรือปืนปลอมก็ตาม กระบอง, ธนู, เครื่องช็อตไฟฟ้า, สเปร์ยพริกไทย แต่ของมีคมที่สามารถนำเข้าได้ ได้แก่ มีดทำอาหาร มีดพับ เพื่อใช้ส่วนตัว เท่านั้น
  • เงินสดหรือเงินต่างประเทศที่มีมูลค่ามากกว่า 10,000 AUD (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 2.4 ล้านบาท)
  • สินค้าที่มีส่วนประกอบของไม้ เช่น กิ่งไม้, ปะการัง, กล้วยไม้, ของที่ระลึก โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์ ต้องผ่านการอบฆ่าเชื้อก่อน
  • เนื้อหาวิดีโอที่ไม่เหมาะสม มีความรุนแรงหรือการทารุณกรรม ไม่ว่าจะจัดเก็บในไฟล์จัดเก็บส่วนตัว (External Hardisk), แผ่นซีดี หรือแม้แต่บนโทรศัพท์มือถือ
  • เครื่องดื่มแอลกฮอล์ ที่มีปริมาณมากกว่า 2.25 ลิตร หรือ บุหรี่มากกว่า 25 มวน
  • สินค้าปลอดภาษีที่ซื้อผ่าน Duty Free มูลค่ามากกว่า 900 AUD สำหรับผู้ใหญ่ และ 450 AUD สำหรับเด็ก
  • สินค้าปลอมแปลงและของลอกเลียนแบบ นับว่าเป็นสินค้าผิดกฎหมาย



ตัวอย่างบัตรผู้โดยสารขาเข้า (Incoming passenger card) แปลไทย
ที่มาภาพ : abf.gov.au/entering-leaving-australia/files/ipc-sample-thai.pdf

หากไม่มั่นใจว่าสินค้าที่เรานำเข้าประเทศมานั้นถูกต้องหรือไม่ ชี้แจงก่อนเข้าประเทศบนบัตรผู้โดยสารขาเข้า (Incomming Passenger Card) อย่างถูกต้อง ตามความเป็นจริง และอย่าลืมที่จะสำแดงสินค้าต่อเจ้าหน้าที่ก่อนเข้าประเทศ เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจและความปลอดภัยให้กับตัวเองและประเทศ เพราะหากจับได้ว่ามีการให้การเท็จบนบัตรผู้โดยสารขาเข้าและถูกตรวจจับได้ ถือว่ามีความผิดร้ายแรง ทั้ง ปรับ จำคุก ในบางทีอาจถูกบันทึกประวัติอาชญากรรม หรือหากต้องการศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมโดยละเอียดก่อนเข้าประเทศ สามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้ที่ awe.gov.au/travelling

อ้างถึง
https://www.sbs.com.au/language/thai/audio/settlement-guide-entering-australia-what-you-can-and-cannot-bring
https://www.awe.gov.au/biosecurity-trade/travelling/bringing-mailing-goods#cats-and-dogs

17


ใครที่กำลังตัดสินใจย้ายมาอยู่ในเมืองบริสเบนประเทศออสเตรเลีย แม้ว่าจะเป็นประเทศที่มีระบบอะไรหลายๆอย่าง คล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ หรือเป็นไม่กี่ประเทศที่ขับรถฝั่งเดียวกับไทย และแต่ก็มีวัฒธรรม หรือกิจกรรมบางอย่างของคนผู้คนในพื้นที่ที่แตกต่างไปจากเดิม เราจึงมาสรุป 10 สิ่งที่แตกต่าง เมื่อเทียบกับประเทศไทย จะมีอะไรบ้างติดตามกันได้เลย


1. ในวันอาทิตย์อะไรๆ ก็ปิดเร็ว



Photo by Tim Mossholder on Unsplash

      วันอาทิตย์คือวันของการพักผ่อน เป็นเวลาที่ชาวบริสเบนใช้เวลาอยู่กับเพื่อนฝูงหรือครอบครัว ไม่ว่าจะในบ้านหรือสวนสาธารณะ ใครวางแผนจะจับจ่ายซื้อของกินของใช้ในวันอาทิตย์ล่ะก็ ตรวจสอบเวลากันให้ดีๆ เพราะวันนี้ร้านค้าส่วนใหญ่จะปิดเร็วกว่าปกติ ต้ังแต่ 6 โมงเย็น ฟ้ายังไม่ทันมืด ก็เริ่มปิดร้านแล้ว ถ้าเป็นร้านเล็กๆบางร้าน อาจจะหยุดทุกวันอาทิตย์ซะด้วยซ้ำไป แนะนำจัดการซื้อของกันตั้งแต่ช่วงเช้าเลยก็ยิ่งดี ช่วงบ่ายถึงค่ำจะได้เป็นเวลาส่วนตัวของเรา


2. ประตูรถไฟ ที่ไม่ได้เปิดให้อัตโนมัติ



ที่มาภาพ : commons.wikimedia.org

      โดยปกติเวลาเราขึ้นรถไฟฟ้าที่ประเทศไทยหรือประเทศอื่นๆ เมื่อถึงสถานีปลายทาง ประตูจะเปิดและปิดเองอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกและความปลอดภัยในการโดยสาร และไม่ใช่กับที่บริสเบน อย่าลืมว่าเมื่อเราถึงปลายทางแล้ว เมื่อต้องการออก กดปุ่มเปิดประตูที่อยู่ด้านหน้าด้วยนะ ไม่งั้นลงไม่ทันป้ายล่ะ


3. น้ำประปาดื่มได้...ดื่มได้จริงๆนะ



Photo by Bluewater Sweden on Unsplash

      เมื่อเข้าไปเลือกซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ต เราจะสังเกตว่าราคาน้ำดื่มที่นี่จะมีราคาสูง เมื่อเทียบกับประเทศไทยหรือเทียบกับน้ำหวานประเภทอื่น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ สิ่งที่ผู้คนที่ทำเป็นเรื่องปกติที่นี่ คือการดื่มน้ำจากก็อกน้ำ (Tap Water) แทนการซื้อน้ำขวดตามห้างร้าน เพราะนอกจากจะสะอาด ปลอดภัย ไร้กลิ่นแล้ว ยังมีราคาถูกแสนถูก เมื่อเทียบกับน้ำดื่มบรรจุขวด อีกทั้งยังช่วยลดขยะพลาสติกด้วยนะ ดังนั้นเวลาไปไหนมาไหน ก็อย่าลืมพกกระบอกน้ำติดตัว ไว้กดน้ำข้างนอกด้วยล่ะ


4. ขนาด (สิ่งมีชีวิต) รอบตัวที่แตกต่าง



Photo by Anna Tremewan on Unsplash

      นกพิราบ, สุนัข-แมวจรจัด, แมลงต่างๆ คือสิ่งมีชีวิตรอบตัวที่พบได้ในประเทศไทย ซึ่งก็ไม่มีความแปลกแตกต่างอะไร พบได้ทั่วไป แต่เมื่อตัดภาพมาที่บริสเบนหรือเมืองอื่นๆในออสเตรเลีย ภาพของสิ่งมีชีวิตจะเปลี่ยนไป มีทั้ง ยุงตัวใหญ่เบิ้ม, นก Ibis ที่ชอบคุ้ยถังขยะ , นก Magpie ตัวจิ๋ว ที่พร้อมบวกกับผู้คนในทุกเมื่อ หรือบางครั้งก็มีโอกาสเจอสัตว์ร้ายเช่นงู เลื้อยอยู่สวนหลังบ้านด้วย หรือถ้าออกไปนอกเมืองไปในที่ห่างไกล เป็นเรื่องปกติที่จะพบกับจิงโจ้,​ Wallaby หรือแม้กระทั่งโคอาล่าที่เกาะบนต้นไม้นิ่งๆ เช่นกัน สิ่งที่ดีที่สุด คืออย่าไปรบกวน อยู่ห่างเข้าไว้จะดีที่สุด


5. อยู่ที่นี่การทานเนื้อสัตว์จะเปลี่ยนไป



ที่มาภาพ : pixabay.com

      สำหรับคนที่ไม่ได้เป็นมังสวิรัติ เนื้อสัตว์ที่เราทานกันเป็นประจำและพบหาได้ทั่วไป ก็มีตั้งแต่ เนื้อหมู,​ เนื้อไก่,​ เนื้อวัว ฯลฯ แต่เมื่อมาอยู่ที่ออสเตรเลีย เป็นเรื่องธรรมดาที่เราจะสามารถทานเนื้อจิงโจ้ หรือเนื้อจระเข้ ได้ที่ออสเตรเลีย เพราะสัตว์เหล่านี้ไม่ใช่สัตว์สงวนและพบได้ทั่วไปในประเทศ โดยเฉพาะนอกเมือง แต่ส่วนตัวยังไม่ (กล้า) ลองทานนะ ใครมีโอกาสทานแล้ว มาแชร์รสชาติกันให้ฟังหน่อย



6. เพราะกีฬาอยู่ในสายเลือดของชาวออสซี่



ที่มาภาพ : queensland.com/au

      งานกีฬาต่างๆ เกิดขึ้นมากมายในประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็น Footy เกมส์กีฬาที่คล้ายกับรักบี้ แต่มีกฎเฉพาะ, Cricket กีฬาที่ใช้ไม้กับลูกบอล คล้ายกับเบสบอล, การแข่งม้า ซึ่งมีงานที่เกิดขึ้นอย่างยาวนาน และโด่งดังอย่าง Melbourne Cup​ หรือจะเป็นการแข่ง Surfing ที่งาน Gold Coast Open ก็มี ชาวเมืองถึงกับหยุดเฉพาะกิจ เพื่อเชียร์กันเลยทีเดียว อย่างการแข่ง Cricket งาน T20 ที่มีแมทช์หยุดโลก ระหว่างออสเตรเลียกับประเทศ​ศรีลังกา ก็น่าติดตามเช่นเดียวกัน


7. ไม่ต้องแปลกใจ ถ้าใครๆก็จะกล่าวทักทายกัน (รวมถึงคนขับรถเมล์)



Photo by Alexis Brown on Unsplash

      “G’Day Mate” วลีติดปากของชาวบริสเบนเมื่อพบปะกับผู้คน ที่ไม่ใช่แค่คนที่เรารู้จักกัน เพราะเมื่อเราเดินไปตามท้องถนนจะพบชาวบริสเบน ที่เค้าจะยิ้มทักทายเราอย่างเป็นกันเองประหนึ่งคนรู้จัก อย่าลืมยิ้มตอบและทักกลับไปด้วยล่ะ อีกหนึ่งวัฒนธรรมของผู้คนที่นี่ คือการทักทายและขอบคุณให้กับคนขับรถเมล์ทั้งขึ้นรถและก่อนลงรถ เป็นการทักทายและให้เกียรติแบบน่ารักๆของผู้คนเมืองนี้



8. บริสเบนคือเมืองต้นกำเนิดของขนมประจำชาติ



Photo by Eiliv-Sonas Aceron on Unsplash

      Lamigton เค้กสปันจ์ทรงเหลี่ยมสอดไส้แยม เคลือบด้วยช็อกโกแลตไอซิ่งบางๆ คลุกกับมะพร้าวอบแห้ง ของว่างที่พบเห็นได้ทุกที่ในร้านค้าทั่วไป สิ่งที่น่าสนใจคือขนมที่มีชื่อโด่งดังนี้ ถือกำเนิดขึ้นจากเชฟของ Lord Laminton ซึ่งเป็นผู้ว่าการรัฐควีนส์แลนด์ในช่วงปี 1800 เป็นขนมที่เกิดขึ้นจากความไม่ตั้งใจและใช้วัตถุดิบที่เหลือค้างจากในครัว แต่ดั้นอร่อยจนต้องเรียกร้องให้ทำต่อมา ถึงแม้ว่าเรื่องราวนี้จะมีการโต้เถียงกันว่าต้นกำเนิดมาจากประเทศนิวซีแลนด์ แต่อย่างไรก็ดี ลองซื้อมาทานดู รับรองจะติดใจจนต้องทานชิ้นต่อไปทันที



9. กิจกรรมนอกบ้านอันมากมายในบริสเบน



Photo by Carnaby Gilany on Unsplash

      การได้ออกจากบ้าน คือไลฟ์สไตล์ประจำวันหยุดสุดสัปดาห์ของชาวบริสเบน ที่ไม่ใช่แค่ไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง แต่การออกไปท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นการไปทะเลและชายหาด,​ เดินป่าในอุทยานแห่งชาติ หรือแม้แต่การไป Barbie กับเพื่อนฝูงตามสวนสาธารณะอีกด้วย นอกจากนี้เองยังมีตลาดนัด Farmer Market จัดกันตามพื้นที่สาธารณะต่างๆให้เราได้ออกไปเลือกซื้อ ไม่ว่าจะเป็นที่ Brisbane City Markets ใจกลางเมือง,​ Jan Powers Farmers Markets Powerhouse ย่าน New Farm หรือจะขยับออกไปที่ Kelvin Grove Village Markets สามารถเลือกซื้อสินค้าจากมือผู้ผลิตโดยตรง ทั้งผักสด ผลไม้ อาหารแปรรูป รวมไปถึงกาแฟและขนมต่างๆ จะชวนเพื่อนมานั่งทานด้วยกันยามเช้า ก็น่าสนใจเหมือนกัน


10. การดื่มกลมกลืนไปกับผู้คน



Photo by Elevate on Unsplash

      เราที่เราทราบกันดีว่า เครื่องดื่มแอลกฮออล์ในประออสเตรเลียนั้นราคาถูกเป็นพิเศษ ทำให้กลายเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มคู่ใจของชาวออสซี่ อีกทั้งยังมีตัวเลือกที่หลากหลาย แถมในควีนส์แลนด์เองยังมีแบรนด์ XXXX โรงผลิตเบียร์ประจำรัฐอีกด้วย บริสเบนเองก็มีบาร์และร้านนั่งชิลวิวสวยๆทั้งแบบในเมือง, Rooftop หรือจะนั่งริมแม่น้ำ ที่นั่งได้ตลอดทั้งวันได้ตั้งแต่บ่ายยันค่ำ นอกจากนั้นยังมีอีกเครื่องดื่มที่นิยมไม่แพ้กันนั่นคือ กาแฟ จนทำให้การดื่มกลายเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมหลักของชาวบริสเบนและชาวออสซี่กันเลยทีเดียว


ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมาย ที่ทำให้บริสเบนแตกต่างจากเมืองอื่นๆ ถ้าอยากรู้ว่ามีอะไรบ้างล่ะก็ คงต้องลองเข้ามาสัมผัสด้วยตัวเอง รับรองว่าจะหลงรักเมืองเล็กๆแห่งนี้มากขึ้น

18


เข้าสู่เดือนเมษายน เดือนแห่งวันหยุดยาวทั้งไทยและเทศ ถ้าในประเทศไทยก็ตรงกับช่วงวันสงกรานต์ วันขึ้นปีใหม่ของไทย แต่ในออสเตรเลียก็จะตรงกับช่วงวัน Easter ซึ่งเป็นวันสำคัญทางศาสนาคริสต์ที่ร้านค้า โรงเรียน ต่างพร้อมใจกันหยุดเพื่อเฉลิมฉลองกับครอบครัว และนอกจากวันหยุดสากลที่เราจะทราบกันดี เช่นวันคริสมาสต์, วันแม่, ​วันแรงงาน ฯลฯ
แต่เพื่อนๆรู้หรือไม่ ว่าแต่ละรัฐในออสเตรเลียเอง ก็มีวันหยุดพิเศษเฉพาะรัฐอีกด้วย แล้วที่ Queensland ของเรา มีวันหยุดวันไหนที่ไม่เหมือนใครบ้าง มาติดตามกันได้กับบทความนี้



Ekka Wednesday - Queensland
10 August 2022



ที่มาภาพ : en.wikipedia.org/wiki/Ekka

      เริ่มต้นจากรัฐ Queensland ของเรา เทศกาลวันหยุดที่ผู้คนทั้งรัฐ ต่างรอคอยกันนั่นก็คือ “The Royal Queensland Show” หรือชื่อย่อว่างาน Ekka เทศกาลที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคมของทุกปี ในปี 2022 นี้ จัดขึ้นในช่วงวันที่ 6-14 สิงหาคม​ ที่ Brisbane Exhibition Ground ย่าน Bowen Hill โดยรัฐกำหนดให้มีวันหยุดในวันพุธของช่วงเทศกาล โดยใช้ชื่อว่า “Ekka Wednesday” ซึ่งในปีนี้ตรงกับวันที่ 10 สิงหาคม นั่นเอง อย่างที่ทราบกันดีว่า ภายในงานคือการรวมความบันเทิง กิจกรรม และโชว์ผาดโผนสุดท้าทาย คล้ายกับงานวัดบ้านเรา แต่สเกลใหญ่กว่ามาก


ที่มาภาพ : concreteplayground.com

งาน Ekka นี้ จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1876 วัตถุประสงค์ของงานดั้งเดิม คือการแสดงสินค้าและศักยภาพทางการเกษตรและปศุสัตว์ของแต่ละฟาร์ม เนื่องจากเป็นอาชีพหลักในอดีตที่ชาวบ้านในเมืองต่างให้ความสนใจ เหมือนเป็นการอัพเดทความรู้ใหม่ๆให้ตัวเอง แต่เมื่อเวลาผ่านไป รูปแบบของงานก็ถูกปรับเปลี่ยนในตามความสนใจของผู้คนในแต่ละยุค จนถึงทุกวันนี้ งาน Ekka เปรียบเสมือนงานที่เราได้ออกมาสร้างความสนุก กับเกมส์และกิจกรรมที่จัดภายในงาน รวมไปถึงการลิ้มรสอาหารและเครื่องดื่ม ที่ใช้วัตถุดิบภายในรัฐ Queensland โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Ekka Strawberry Sundae ไอติมรสสตรอเบอรี่ในโคนเวเฟอร์กรุบกรอบ ที่โปะด้วยวิปครีม และสตรอเบอรี่ลูกโตๆ เป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่ใครได้มาในงานต้องได้ต่อคิวซื้อและถ่ายรูปคู่ด้วย

อีกไฮไลท์ของงาน คือโชว์การแสดงและการแข่งขันของสัตว์และการเกษตรเพื่อความบันเทิง (และความน่าเอ็นดู) อย่างเช่น การประชันความสวยงามและคุณภาพการให้นมของวัวและแพะ, ​การแข่งขันคุณภาพน้ำผึ้ง รวมไปถึงโชว์การจับรังผึ้ง, การประชันเพื่อค้นหาฟักทองยักษ์ใหญ่ที่สุด, การแข่งกิน Corn Dog (Dagwood Dog) ฯลฯ


Picnic Day - Northern Territory
1 August 2022* (ทุกวันจันทร์แรกของเดือนสิงหาคม*)



ที่มาภาพ : newsmsfree.com

      ในส่วนของวันหยุดพิเศษของรัฐ Northern Territory นั่นก็คือ Picnic Day นอกจากจะให้เราออกไปปิกนิกนอกบ้านแล้ว ยังให้เป็นวันพักผ่อนพิเศษ ที่ลากยาวมาจากงาน Harts Range Annual Races ซึ่งเป็นงานแข่งขันวิ่งม้าประจำปีของเมือง

วัน Picnic Day เกิดขึ้นทุกวันจันทร์แรกของเดือนสิงหาคม ปีนี้ตรงกับวันที่ 1 สิงหาคมพอดิบพอดี หลังงานHarts Range Annual Races โดยปกติห้างร้าน โรงเรียน สถานที่ราชการจะปิดทำการ ผู้คนส่วนใหญ่จะพักผ่อนอยู่บ้าน บางส่วนออกมาพักผ่อนตามสวนสาธารณะที่มีจัดการกิจกรรมและร้านขายของ และในช่วงนั้นเองจะตรงกับงานแข่งกีฬาต่างๆ ทั้งการแข่งเบสบอลเอง รวมไปถึงงานแข่งม้า ที่ผู้คนสามารถสนุกสนานไปกับการชมกีฬาในงานได้


ที่มาภาพ : facebook.com/hartsrangeraces

หากพูดถึงกิจกรรมที่เป็นธรรมเนียมของวันนั้น คือการไปร่วมงานที่จัดขึ้นที่บริเวณ Adelaide River โดยในงานจะมีกิจกรรมต่างๆ ทั้งการเล่นชักคะเย่อ วิ่งกระสอบ สำหรับเด็กและผู้ใหญ่ รวมถึงมีอาหาร ของว่างทานในงานอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นวันหยุดแห่งการพักผ่อนที่มากกว่าแค่การปิกนิคเลยทีเดียว


Reconciliation Day - Australian Capital Territory
30 May 2022* (ทุกวันจันทร์แรกหลังวันที่ 27 May)



ที่มาภาพ : timeanddate.com

      Australian Capital Territory รัฐเล็กๆที่มีเมืองหลวงประเทศอย่าง Canberra ที่เมืองนั้นเอง มีวันหยุดพิเศษอีกหนึ่งวัน นั้นก็คือ Reconciliation Day ถ้าแปลตรงตัว คือ"วันแห่งการปรองดอง" เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองและเปิดโอกาสให้ผู้คนสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางด้านชาติพันธุ์โดยไม่แบ่งแยก ด้วยการแชร์วัฒนธรรมเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างชาวออสซี่กับชาว Aboriginal ซึ่งเป็นชนชาติพื้นเมืองในอดีต ปกติจะตรงกับวันจันทร์แรกหลังวันที่ 27 พฤษภาคม ซึ่งถ้าเทียบในปฎิทินปีนี้ตรงกับวันที่ 30 พฤษภาคมนั่นเอง


ที่มาภาพ : the-riotact.com

ที่มาของวันนี้ เกิดจากในช่วงปี 1967 ซึ่งเป็นปีรัฐบาลที่มีประชามติให้ไม่มีการแบ่งแยกของชาว Aboriginal ออกจากชาวออสซี่ นั่นหมายถึง ชาว Aboriginal จะได้มีสิทธิ์ มีเสียงในการเลือกตั้ง หรือการแสดงความเห็นในด้านกฎหมาย จากที่เคยถูกกดทับมาอย่างยาวนาน

ภายในวันนั้น จะมีการจัดกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้ผู้คนเรียนรู้ถึงความหลากลายทางด้านศิลปะ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของประเทศ รวมไปถึงความหลากหลายทางชาติพันธุ์ โดยเฉพาะการให้ความรู้เกี่ยวกับชาว Aboriginal ซึ่งเป็นกลุ่มคนแรกของทวีป รวมไปถึงการจัดแสดงงานศิลปะที่เป็นการร่วมมือระหว่างชาว Aboriginal และชาวออสซี่ เป็นงานที่ใครๆก็เข้าร่วมได้ ทุกเพศทุกวัย รวมไปถึงครอบครัวที่มีเด็กเล็ก สร้างความตระหนักรู้ของความหลากหลายในประเทศมากขึ้น


Adelaide Cup Day - South Australia
14 March 2022* (ทุกวันจันทร์ที่สองของเดือนมีนาคม*)



ที่มาภาพ : officeholidays.com

      มาทางตอนใต้ของประเทศ กีฬาคือของคู่กันกับชาวออสซี่ หนึ่งในเกมส์กีฬาที่ชาวเมือง Adelaide ต่างให้ความสนใจ นั่นคือ Adelaide Cup Day งานแข่งม้าที่จัดขึ้นครั้งแรกมาตั้งแต่ปี 1864 แต่ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดเมื่อปี 1973 งานจะจัดขึ้นทุกวันจันทร์ที่สองของเดือนมีนาคมทุกปี โดยปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ทำให้วันนี้มีอีกชื่อว่า “March Public Holiday” นั่นเอง ด้วยความที่มีประวัติการแข่งขันมาอย่างยาวนาน Adelaide Cup Day เป็นงานแข่งม้าที่มีความเก่าแก่เป็นอันดับสองของประเทศ รองลงมาจาก Melbourne Cup นั่นเอง งานจัดขึ้นที่ Morphettville Racecourse สนามแข่งที่อยู่นอกตัวเมือง การแข่งขันจะเริ่มต้นในช่วงเที่ยงตรง แข่งทั้งหมด 8 รอบแข่งขัน เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจทายกันว่า ม้าแข่งตัวไหนที่จะเป็นผู้ชนะในแต่ละรอบ สร้างความตื่นเต้นไปด้วยกันภายในงาน เนื่องจากงานเกิดขึ้นวันจันทร์ ทำให้ช่วงอาทิตย์นี้เหมือนเป็นวันหยุดยาวสามวันติด ผู้คนบางส่วนออกไปพักผ่อนหย่อนใจ ตามสวนสาธารณะตลอดแม่น้ำ Torrens River ที่มีตลาดเล็กๆ ให้เราได้จิบไวน์ ปิกนิคท่ามกลางแสงแดดในช่วงหน้าร้อนเดือนมีนาคมนั่นเอง


Eight Hours Day-Tasmania
14 March 2022* (ทุกวันจันทร์ที่สองของเดือนมีนาคม*)



ที่มาภาพ : officeholidays.com

      เมื่อในวันที่ 21 เมษายน ปี 1856 เกิดการเดินขบวน เพื่อเรียกร้องสิทธิจำนวนชั่วโมงการทำงานของแรงงานขึ้น ในเมือง Melbourne โดยเรียกร้องให้ลดจำนวนชั่วโมงการทำงาน จากทั้งหมด 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (6 วันต่อสัปดาห์ วันละ 8 ชั่วโมง) ลดลงเหลือ 40 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ซึ่งทำงานวันละ 8 ชั่วโมง ทั้งหมด 5 วัน ซึ่งเป็นการเรียกร้องที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้คนที่ทำงาน ได้รับวันหยุดเพิ่มขึ้นเป็นสองวันต่อสัปดาห์ จนถึงทุกวันนี้นั่นเอง ซึ่งที่รัฐ Tasmania เป็นรัฐสุดท้ายที่มีการบังคับใช้รูปแบบการทำงานนี้ช้าที่สุดในประเทศ คือปี 1874 คือ 18 ปีให้หลังนั่นเอง วัน Eight Hours Day ที่ Tasmania ถูกกำหนดให้เป็นวันหยุดประจำรัฐ ที่ไม่ได้ขึ้นในเดือนเมษายนที่เดินขบวน แต่จัดขึ้นในวันจันทร์ที่สองของเดือนมีนาคม ทำให้ช่วงอาทิตย์นั้นเป็นวันหยุดยาว เสาร์-อาทิตย์-จันทร์ ผู้คนในเมืองต่างออกมาพักผ่อนหย่อนใจตามสวนสาธารณะ ทำ Barbie กับกลุ่มเพื่อนในช่วงหน้าร้อน เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและระลึกถึงความสำเร็จของการเรียกร้องในอดีตนั่นเอง หากในวันหยุดยาว ต้องการเรียนรู้เรื่องการเรียกร้องสิทธิแรงงานล่ะก็ แนะนำภาพยนตร์สารคดีเรื่อง Santa's Workshop, Rednecks and Culchies หรือ Apple's Broken Promises ก็น่าสนใจเช่นกัน


วันหยุดแต่ละวันที่เราแนะนำมา ต่างมีความสำคัญต่อผู้คนในแต่ละรัฐ
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิถีชีวิต หรือจะเป็นการระลึกถึงการต่อสู้ในอดีต โดยเรื่องราวเหล่านี้เอง ได้หล่อหลอมให้ผู้คนมีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกันไปนั่นเอง

19



ที่มาภาพ : pixabay.com

      สิ่งที่บ่งบอกถึงความเป็นประเทศออสเตรเลียได้ นอกจากสถานที่ท่องเที่ยว, เมือง หรือภาษาที่ใช้แล้ว ภาพหนึ่งที่เข้ามาเป็นอันดับแรกเลย หนีไม่พ้นธงชาติประเทศ เราเห็นใช้งานธงชาติแทบจะทุกที่รอบตัวเรา ไม่ว่าจะเป็นบริเวณหน่วยงานราชการ, อาคารบ้านเรือนบางแห่ง หรือแม้กระทั่งบนบรรจุภัณฑ์ที่สื่อถึงว่าเป็น Made in Australia หรือจะเป็นของที่ระลึกตามร้านขายของฝาก ธงชาติคือสิ่งที่สามารถสื่อสารได้ถึงความเป็นประเทศได้อย่างชัดเจน แต่รู้หรือไม่ว่า สีและสัญลักษณ์ที่ปรากฎบนผืนธงชาตินั้นมีความหมายอย่างไรบ้าง เรามาแนะนำรายละเอียดบนธงประเทศออสเตรเลียกัน


เข้าใจลักษณะและความหมายบนผืนธงชาติ


ที่มาภาพ : wikipedia.org

      ดีไซน์ต้นแบบของธงชาติประเทศออสเตรเลียที่พบเห็นในวันนี้ เกิดขึ้นจากการประกวดในปี 1901 และถูกเริ่มต้นใช้งานมาตั้งแต่ปี 1908 มีการปรับเปลี่ยนมาเรื่อย จนมีพระราชบัญญัติธง Flags Act 1953 เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยการกำหนดธงอื่นๆ ทั้งเพื่อหน่วยงานราชการและเป็นเครื่องหมายสำหรับประชาชน หากพูดถึงหน้าตาภายนอก ธงชาติประเทศออสเตรเลียเป็นธงขนาดสี่เหลี่ยมผืนผ้าสัดส่วน 1:2 รูปสัญลักษณ์บนธง ประกอบไปด้วย 3 ส่วน ส่วนแรกคือ Union Jack ด้านมุมซ้ายบนของธง เป็นส่วนของหน้าตาธงชาติสหราชอาณาจักร, Southen Cross หรือกลุ่มดาวกางเขนใต้จำนวน 5 ดวง และ ดาว Commonwealth ที่เป็นดาวดวงที่ใหญ่ที่สุด บริเวณด้านซ้าย 1 ดวง


ที่มาภาพ : wikipedia.org

เริ่มต้นกันด้วยสีที่ใช้งานบนธง ประกอบไปด้วย สีน้ำเงิน, สีแดง และ สีขาว ซึ่งแต่ละสีไม่ได้มีความหมายใดๆเหมือนกับธงชาติประเทศไทย แต่โดยรวมแล้ว ยึดโยงมาจากธงชาติของสหราชอาณาจักร ว่าแต่ ทำไมเราต้องนำธงของอีกประเทศมาใช้ด้วยล่ะ?

อย่างที่เราทราบกันดี เมื่อย้อนไปในอดีตอันยาวนาน ในยุคล่าอาณานิคมตามหน้าประวัติศาสตร์ของประเทศ ครั้งหนึ่ง กัปตัน James Cook ชาวอังกฤษ​ ได้ค้นพบทวีปแห่งนี้ ทำให้ต่อมาสหราชอาณาจักรได้เข้ามายึดครองพื้นที่บางส่วน เพื่อหาผลประโยชน์ทั้งในแง่ทรัพยากร หรือการขยายอาณานิคมเพื่อความมั่นคง จนลงหลักปักฐาน ขยายพื้นที่จนกลายเป็นคนกลุ่มใหญ่ที่สุดในทวีป ด้วยเหตุผลหลักนี้เอง ทำให้ธงประเทศออสเตรเลีย จึงดึงสัญลักษณ์ Union Jack จากธงของสหราชอาณาจักร มาอยู่มุมซ้ายบนของธงประเทศ เพื่อเป็นการให้เกียรติกับการมาถึง


ที่มาภาพ : wikipedia.org

ในส่วนต่อมาบนธงคือดาวสีขาวด้านขวา จำนวน 5 ดวง แต่ละดวงมี 7 แฉก เว้นไว้เพียง 1 ดวงที่เป็น 5 แฉก กระจายอยู่บนผืนธงแบบไม่เป็นสมมาตร ทราบมั้ยว่าเพราะอะไร? ก็เพราะว่าตำแหน่งดาวทั้ง 5 คือตำแหน่ง กลุ่มดาวกางเขนใต้ (Southen Cross) นั่นเอง ซึ่งกลุ่มดาวนี้สื่อถึงประเทศที่ตั้งอยู่บนซีกโลกใต้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะพบเห็นกลุ่มดาวนี้แค่ในซีกโลกใต้นะ แต่ประเทศทางซีกโลกเหนือก็สามารถมองเห็นกลุ่มดาวนี้ได้เช่นกัน ซึ่งการใช้กลุ่มดาวนี้บนธงชาติ ไม่ได้ใช้แค่ในธงชาติออสเตรเลียเท่านั้น แต่ยังปรากฎบนธงชาติหลายประเทศ เช่น นิวซีแลนด์ รวมไปถึง ประเทศโซนอเมริกาใต้ เช่น บราซิล,​อาเจนตินา ฯลฯ อีกด้วย ส่วน 1 ดวงที่ใหญ่ที่สุดด้านซ้ายล่าง หมายถึงดาว Commonwealth นั่นเอง


ดาว Commonwealth (The Commonwealth Star) มีอีกชื่อว่า Federation Star รูปทรงของดาวมีทั้งหมด 7 แฉกเช่นกัน แต่จำนวนแฉกมีปรากฎนั้นมีความหมายแฝง นั่นคือ 7 แฉกคือจำนวนรัฐทั้งหมด (ในอดีต) ของประเทศออสเตรเลีย อันได้แก่  New South Wales (NSW) , Queensland (QLD) , South Australia (SA), Tasmania (TAS), Victoria (VIC),  Western Australia (WA) ส่วนอีก 1 แฉก เปรียบถึง ดินแดนออกอาณาเขตประเทศ (The Territories of Australia) ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต อาทิเช่น รัฐเอกราชปาปัวนิวกินี นั่นเอง แม้ว่าปัจจุบันจะมีรัฐใหม่เกิดขึ้นอย่าง Northern Territory และ Australian Capital Territory แต่รูปแบบของธงชาติออสเตรเลียยังคงใช้การออกแบบเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง


ว่าด้วยการใช้งานของธงชาติออสเตรเลีย




หน้าตาของธงชาติและธงประจำรัฐ New South Wales ที่ใช้ร่วมกัน
ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@stafra




หน้าตาของธงเรือเดินสมุทร
ที่มาภาพ : unsplash.com

      นอกจากธงชาติที่เห็นได้ทั่วไปแล้ว ยังมีธงอีกหลายรูปแบบ ที่ใช้ในหน่วยงานอื่นหรือตามโอกาสต่างๆ เช่น ธงชาติประจำรัฐ, ธงชาติประจำกองทัพและพลเรือนต่างๆ, ธงชาติของชาวพื้นถิ่น, ธงชาติเมืองและดินแดนในอาณัติที่อยู่นอกเกาะออสเตรเลีย
ธงบางชนิด มีรูปแบบที่คล้ายคลึงจากธงชาติประเทศ เช่น ธงชาติประจำรัฐควีนส์แลนด์ ที่ตัดกลุ่มดาวสีขาวออก และมีตราประจำรัฐที่ด้านปลายธง หรือธงเดินเรือสมุทรที่เปลี่ยนจากพื้นที่สีน้ำเงินเป็นสีแดง และธงบางกลุ่มที่มีรูปแบบแตกต่างกันไปเลย เช่น ธงเกาะ Norfolk Island ที่มีสีขาวเขียวและรูปต้นสน, ธงหมู่เกาะ Christmas ฯลฯ


ที่มาภาพ : abc.net.au

      ส่วนการใช้งานโดยทั่วไป ประชาชนสามารถใช้งานธงชาติออสเตรเลียได้ทุกวันและทุกเวลา ตามความเหมาะสม และมีในวันสำคัญบางวัน ที่จำเป็นต้องมีการลดธงมาครึ่งเสา เพื่อแสดงความไว้อาลัย อย่างเช่น วัน ANZAC Day ที่ลดธงครึ่งเสาจนถึงเที่ยงตรง หรือ วัน Remembrance Day (คล้ายกับวันทหารผ่านศึก) ที่ลดธงครึ่งเสาในช่วงเวลา 10.30 ถึงเวลา 11.03 ในวันดังกล่าว หากต้องการชมความอลังการของธงชาติที่มีขนาดใหญ่และสวยงามมากที่สุด สามารถไปชมได้ที่รัฐสภาในกรุง Canberra เมืองหลวงของประเทศได้เลย


อ่านจบแล้ว หลายคนคงจะเข้าใจความหมายของธงชาติมากยิ่งขึ้น และนำไปบอกเล่าให้คนใกล้ตัวฟังได้ไม่มากก็น้อย ;D

20


ช่วงปีใหม่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว... ก็เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก ใครที่กำลังมองหากิจกรรมไว้พาหวานใจไปเที่ยวอยู่ล่ะก็ จะนัดมากินข้าวดูหนังทั่วไปคงจะธรรมดาไป วันนี้เราจะมาแนะนำสถานที่และกิจกรรมน่าสนใจ ทั้งสนุกและโรแมนติก เอาให้ครบทั้ง 7 วัน สวีทด้วยกันทั้งอาทิตย์ไปเลย



Day 1 : จูงมือรับแสงแดดยามเช้า วอร์มร่างกายรอบตัวเมือง



ที่มาภาพ : brisbane.qld.gov.au

      เปลี่ยนการเดินเล่น จับมือกันแบบทั่วไปทำได้ทุกวัน มาขยับแข้งขยับขาเพิ่มอีกสักหน่อย ออกไปวิ่งบนเส้นทางในเมืองที่ออกแบบ อย่างเช่นที่ New Farm Riverwalk เส้นทางออกกำลังที่เริ่มต้นจาก New Farm Park เลียบแม่น้ำจบเส้นทางในตัวเมือง QUT Gardens Point Campus ภายใน City Botanic Gardens รวมระยะทางทั้งสิ้นอยู่ที่ 5 กิโลเมตร หรือใครชอบวิ่งช่วงเย็นล่ะก็ ต้องที่ Kangaroo Point Cliffs ที่เริ่มต้นเส้นทางจาก South Bank ตลอดเส้นทางมีทั้งทางเรียบ ทางชัน รวมถึงบันไดจากด้านล่าง จบเส้นทางด้วยวิวมุมสูง มองดูพระอาทิตย์ตกดิน วิ่งมาเหนื่อยๆ นั่งชมวิวกันสองต่อสอง ก็โรแมนติกไม่น้อย


Day 2 : ทานอาหารอร่อยๆ เครื่องดื่มดีๆ ในมื้อพิเศษระหว่างเราสอง



ที่มาภาพ : worldarchitecturenews.com

      ในทุกคืนบริเวณใต้สะพาน Story Bridge เราจะเห็นแสงสี และเสียงเพลงที่ Howard Smith Wharves ย่านที่รวมร้านอาหารและเครื่องดื่มให้เราได้นั่งทานกันอย่างชิลๆ ให้ได้สวีทพร้อมกับความสนุกตลอดค่ำคืน โดยเฉพาะใครเป็นคอเบียร์ล่ะก็ บริเวณนี้มีร้านคราฟเบียร์อย่าง Felons Brewing Co. หลากหลายตัวเลือก นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มอื่นๆ ที่ให้เราได้ลองได้จิบกันแก้วสองแก้ว พูดคุยด้วยกันทั้งคืน



Day 3 : ปิกนิกในสวน นั่งพูดคุยกันในวันสบายๆ



ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@luciecapek

      หากพูดถึงสวนสาธารณะในบริสเบนที่มีขนาดใหญ่และน่าสนใจ หนึ่งในนั้นต้องมี New Farm Park สวนสาธารณะบริเวณริมน้ำ ที่มีผู้คนแวะเวียนกันมาพักผ่อนกันทั้งวัน ทั้งมาปิกนิคในสวน, Barbie หรือจะมาออกกำลังกาย เดินเล่น ปั่นจักรยานก็มี โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์อาทิตย์จะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะจะมีตลาด Farmer Market ให้เราได้ซื้อวัตถุดิบทางชาวบ้าน หรือจะของหวานทานเล่น ป้อนกันในสวนก็น่ารักดีเหมือนกัน


Day 4 : ตื่นเช้าตรู่ รอดูพระอาทิตย์ขึ้นสุดโรแมนติก



ที่มาภาพ : visitbrisbane.com.au

      ลองตื่นเช้าสักหน่อย เพื่อเดินทางไปยังจุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยและยอดฮิตที่สุดในเมือง นั่นก็คือ Mt. Coot-tha ที่นี่นอกจากจะได้ชมวิวสวยๆในช่วงเช้า พร้อมกับเมฆปกคลุมเมืองแล้ว ยามค่ำคืนที่นี่ก็เป็นอีกจุดที่เรามองเห็นแสงสีเมืองบริสเบนในระยะไกลได้สวยไม่แพ้ตอนเช้าเลยทีเดียวเชียว หรือถ้าใครไปช่วงกลางวันๆล่ะก็ บริเวณด้านล่าง ก็มี Brisbane Botanic Gardens รวมต้นไม้ พืชพันธุ์พฤกษศาสตร์มากมาย ทั้งแบบกลางแจ้งและในโดม มีมุมสวยๆ ให้หวานใจเราถ่ายรูปลงโซเชียลได้อีก



Day 5 : ล่องแม่น้ำบริสเบนแบบใหม่ สไตล์ Adventure



ที่มาภาพ : facebook.com/RiverlifeBrisbane

      เปลี่ยนการล่องแม่น้ำบริสเบนในรูปแบบใหม่ ไปกับการพายคายัคไปกับ Riverlife Brisbane ทริปนี้จะพาเราไปชมวิวเมืองสองข้างทาง บนแม่น้ำตลอด 90 นาทีพร้อมเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ เริ่มต้นกันตั้งแต่ย่าน South Bank ผ่านใต้สะพาน Good View Bridge ชมวิวหน้าผา Kangaroo Point Cliffs จนไปจบทริปบริเวณสะพาน Story Bridge พายเสร็จแล้วแวะพักทานมื้อเย็นกันต่อที่ Howard Smith Wharves เลย ได้ชมวิวเมืองในมุมมองใหม่กับหวานใจ แถมได้ออกกำลังกายไปในตัว


Day 6 : น่ารักไปกับโคอาล่าแบบใกล้ชิด



ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@avishalz

      จะมีที่ไหน ที่เราสามารถกอดหมีโคอาล่าได้ใกล้ขนาดเท่าที่นี่ ที่ Lone Pine Coala Sactuary อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง สามารถนั่งรถสาธารณะได้ง่ายๆ จะเรียกว่าเป็นสวนสัตว์อย่างเดียวคงไม่ได้ เพราะที่นี่คือสถานอนุบาลหมีโคล่าที่เก่าแก่ และใหญ่ที่สุดในประเทศเลยทีเดียว เนื่องจากโคอาล่าเป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ ต้องการการเลี้ยงดูที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน จากอัตราการสูญพันธุ์ที่เพิ่มขึ้นทุกปี จากน้ำมือมนุษย์เอง หรือจากไฟป่าตามฤดูกาลก็ตาม ที่นี่เองนอกจากจะมีกิจกรรมต่างๆ ที่เราได้สัมผัสถึงความน่ารักของเจ้าสัตว์ตัวนี้อย่างใกล้ชิดแล้ว เราจะได้ทำความรู้จักหมีโคล่ามากขึ้น รวมไปถึงสัตว์ต่างๆ อย่างจิงโจ้, นกอีมู และสัตว์อื่นๆอีกด้วย สามารถให้อาหาร เล่นกับน้องหมี ถ่ายรูปคู่กับหวานใจได้ทั้งวัน


Day 7 : เข้าป่าไปด้วยกัน สัมผัสธรรมชาตินอกตัวเมือง



ที่มาภาพ :unsplash.com

   เปลี่ยนจากการเที่ยวสบายๆ มาสายเดินป่า เข้าหาธรรมชาติ (แบบไม่ฮาร์ทคอร์จนเกินไป) กับเส้นทาง Trekking นอกตัวเมืองเช้าไปเย็นกลับ โดยเส้นทางที่ใกล้และเดินได้ง่ายๆ ก็มีตั้งแต่ Springbrook National Park ที่อยู่ใกล้ๆกับ Gold Coast เดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ เราก็จะได้ไปสัมผัสความสดชื่นของป่าเขา ระหว่างเส้นทางที่เดิน นอกจากจะสดชื่น สวยงาม สงบ แล้ว ยังมีน้ำตกให้เราได้แวะเล่นน้ำหรือเซลฟี่กันสองต่อสองก็ยังได้ ไฮไลท์ที่ใครไปต้องแวะเวียน ก็คือถ้ำที่ภายในเรืองแสง ซึ่งเกิดจากหนอนภายในถ้ำ และยังมีน้ำตกภายในถ้ำอีกด้วย หากจะขยับความยากขึ้นมาหน่อยล่ะก็ ไปที่ Mount Barney National Park ที่เส้นทางไกลขึ้น แต่เซอร์ไพร์สกับปลายทางที่สวยงาม (และสดชื่น) กับ น้ำตกให้เราได้แช่น้ำคลายร้อนจากการเดินทาง



ยังคงมีกิจกรรมและสถานที่อีกมากมาย ที่เราจะพาคนรักของเรา ไปท่องเที่ยวด้วยกันทั้งในเมืองและนอกตัวเมือง อย่าลืมหาเวลา ออกไปเที่ยวกันให้บ่อยมากขึ้นล่ะ

21


มากันต่อตอนที่สอง กับการรวมแบรนด์สินค้าและร้านค้าที่มีต้นกำเนิดในออสเตรเลีย ผ่านตัวอักษรภาษาอังกฤษ​ A-Z วันนี้ดำเนินมาถึงตัวอักษร N แล้ว เรามาไล่จนถึงตัวสุดท้ายอย่าง Z กันเลย มาดูกันว่า แบรนด์ไหนที่เราใช้ประจำ และแบรนด์ไหนที่เราไม่คุ้นเคย แต่น่าสนใจบ้าง


N- National Australia Bank (NAB)


ที่มาภาพ :ledgerinsights.com    

ธนาคารสีแดงแห่งประเทศ ที่ติดอันดับ 1 ใน 4 สถาบันทางการเงินที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย และมีมูลค่าใหญ่เป็นอันดับ 52 ของธนาคารทั่วโลก ธนาคารแห่งนี้ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1982 นอกจากจะมีสาขาทั่วประเทศแล้ว ในปัจจุบันได้ขยายเปิดไปยังต่างประเทศ เช่น นิวซีแลนด์, จีน, สหรัฐอเมริกา ฯลฯ

O- Officework


ที่มาภาพ : realestatesource.com.au

หากมองหาร้านขายอุปกรณ์สำนักงานหรือเครื่องเขียนแล้วล่พะก็ เข้ามาที่ Officeworks ได้เลย ไม่ผิดหวัง เพราะมีสินค้าให้เลือกครบครันและหลากหลาย จากการก่อตั้งของ Coles Myer ในปี 1994 เจ้าของเดียวกับแบรนด์ซุปเปอร์มาร์เก็ต Coles ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ทำให้มีมากถึงร้อยกว่าสาขาทั่วประเทศในทุกวันนี้ อย่างรอบตัวเมืองบริสเบนเอง ก็จะมีที่ Adelaide St, Milton, Woolloongabba และ Windsor นั่นเอง


P- Priceline


สาวๆอย่างเรา เวลาที่มองหาเครื่องสำอางที่หลากหลาย หรือยาเวชภัณฑ์ที่ปลอดภัยแล้วล่ะก็ Priceline เป็นอีกหนึ่งร้าน ที่ไม่พลาดที่จะเข้าไปแวะชมเลือกซื้อ ด้วยความน่าเชื่อถือและอยู่คู่กับสาวๆชาวออสซี่มาอย่างยาวนานกว่า 40 ปี โดยเฉพาะระบบสมาชิก “Sister Club” ของร้านเอง คือสิ่งที่ดึงดูดให้ลูกค้าขาจร กลายเป็นลูกค้าประจำ เพราะนอกจากจะมีระบบการสะสมแต้ม เพื่อรับโปรโมชั่นส่วนลดในการซื้อสินค้าแล้ว ยังมีสิทธิพิเศษในการรับสินค้าตัวอย่างจากแบรนด์ชั้นนำอีกด้วย


Q- Qantas


ที่มาภาพ : cdn.businesstraveller.com

สายการบินของประเทศชื่อดังมาพร้อมกับโลโก้จิงโจ้ที่ปีก ที่ชาวออสซี่ได้ตั้งสมญานามสายการบินนี้ไว้ว่า "The Flying Kangaroo" หรือเจ้าจิงโจ้บินได้นั่นเอง Qantas หรือชื่อเต็มว่า “Queensland and Northern Territory Aerial Services” เป็นสายการบินที่เปิดเส้นทางการเดินทางจากต่างประเทศ เข้าสู่ประเทศออสเตรเลียเป็นจำนวนมาก และเคยติดหนึ่งในลิสสายการบินที่มีมูลค่าแบรนด์สูงที่สุดของโลกอีกด้วย รู้หรือไม่ว่าสายการบินนี้ มีอายุเก่าแก่เป็นอันดับสามของโลก ที่ยังคงดำเนินธุรกิจจนถึงปัจจุบัน


R- The Royal Automobile Club of Queensland Limited (RSCQ)


เมื่อคิดจะซื้อสินค้ามีมูลค่า อย่างเช่นบ้านหลังแรก หรือรถยนต์คันแรก การซื้อประกันไว้ ก็เหมือนมีผู้ช่วย ให้เราอุ่นใจเมื่อเกิดปัญหา "The Royal Automobile Club of Queensland Limited" หรือแบรนด์ที่เราเรียกกันสั้นๆอย่าง RSCQ บริษัทผู้ให้บริการด้านประกันภัยที่เปิดมาอย่างยาวนาน นอกจากนี้ยังมีบริการอื่นๆ อีกมากมายเช่นกัน


S- Speedo


ที่มาภาพ :speedo.com.au

แบรนด์ชุดว่ายน้ำชื่อดังที่นักกีฬาโอลิมปิกสวมใส่กันกับแบรนด์ Speedo ที่มีจุดเริ่มต้นจากเมือง Sydney มาตั้งแต่ปี 1914 แม้ว่าปัจจุบันได้ย้ายฐานการผลิตและการบริหารไปยังสหราชอาณาจักรแทน แต่ทางแบรนด์ก็ยังทิ้งสัญลักษณ์ของประเทศออสเตรเลียอย่าง “บูมเมอแรง” ไว้บนโลโก้จนถึงทุกวันนี้


T- Telstra


ที่มาภาพ : ichef.bbci.co.uk

บริษัทผู้ให้บริการเครือข่ายไร้สาย มีโครงข่ายคุณภาพที่ใหญ่ที่สุดในออสเตรเลีย ให้บริการทั้งสัญญาณโทรศัพท์, สัญญาณอินเตอร์เน็ท รวมไปถึงสัญญาณโทรทัศน์และสินค้าอื่นๆอีกมากมาย ก่อนที่จะเปิดมาเป็นบริษัทผู้ให้บริการเอกชนแบบนี้ บริการโทรศัพท์นี้มีต้นกำเนิดมาจาก Australia Post หรือไปรษณีย์แห่งออสเตรเลีย ก่อนที่จะแยกธุรกิจออกมาเปิดเป็นรูปแบบเอกชนเมื่อปี 1975 จากความนิยมของผู้ใช้งานโทรศัพท์ เพื่อการติดต่อสื่อสารที่มากขึ้นนั่นเอง


U- UGG


หากพูดถึงรองเท้าบู๊ตหนังที่มีชื่อโด่งดังในประเทศ คงอดนึกถึงแบรนด์ UGG ไม่ได้ เพราะเป็นแบรนด์ที่จำหน่ายสินค้าเครื่องแต่งกายมาตั้งแต่ช่วงปี 1970 ด้วยประวัติที่มีมาอย่างยาวนาน ทำให้ทุกวันนี้ จำหน่ายสินค้าไปในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศอังกฤษและสหรัฐอเมริกาที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน


V- Vegemite


ที่มาภาพ :i.ytimg.com

ไม่มีใครไม่คุ้นเคยกับแยมผักสีเข้มกระปุกเหลือง ที่อยู่ในตู้เย็นแทบทุกบ้านได้เท่ากับ Vegemite เริ่มต้นการผลิตสินค้ามาตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ที่ต้องการให้เด็กๆในยุคนั้น ได้รับสารอาหารและวิตามินที่มีประโยชน์ในราคาที่ถูก จึงเกิดเป็นแยกผักที่หน้าตาอาจจะดูไม่ค่อยน่าทานเท่ากับแยมผลไม้สีสดใส แต่ด้วยรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์​ ทำให้เกิดความนิยมเพิ่มมากขึ้น ทุกวันนี้ผู้คนชาวออสซี่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ต่างทาน Vegemite กับขนมปังพร้อมกับเนยในยามเช้า หรือจะโปะด้วยอะโวคาโดอีก ก็เข้ากันได้ดี


W- Weet-Bix



ที่มาภาพ : alchetron.com

แบรนด์ซีเรียลชื่อดัง ที่มีประวัติมาอย่างยาวนานตั้งแต่ช่วงปี 1920  เรียกได้ว่าเด็กออสซี่แทบทุกคนโตมากับแบรนด์นี้เลยก็ว่าได้ วิธีการทาน Weet-Bix ก็ง่ายแสนง่าย สามารถทานได้เปล่าๆเป็นขนม หรือจะเพิ่มรสชาติด้วยการทา Peanut Butter และน้ำผึ้ง สำหรับเมนูยอดนิยมง่ายๆ คือทานคู่กับนมหรือโยเกิร์ตในตอนเช้า ใส่ผลไม้นิดหน่อย เพิ่มรสชาติให้อร่อยยิ่งขึ้น


X- XXXX Brewery


ที่มาภาพ : wikimedia.org

ปฏิเสธไม่ได้ที่ในทุกโอกาสกินดื่มของชาวบริสเบน จะไม่มีเบียร์ยี่ห้อ XXXX วางอยู่บนโต๊ะ จากประวัติอันยาวนานและมีต้นกำเนิดจากที่ควีนส์แลนด์ ทำให้ XXXX เป็นเบียร์ที่มีความนิยมของชาวควีนแลนด์จนถึงวันนี้ และที่สำคัญที่โรงกลั่นยังมี XXXX Brewery Tours เปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปเยี่ยมชมการผลิตอย่างใกล้ชิดอีกด้วย


Y- Yomie's Rice X Yogurt


ที่มาภาพ : cdn.vox-cdn.com

เอาใจสายรักสุขภาพโดยเฉพาะ กับแบรนด์เครื่องดื่มโยเกิร์ตพร้อมดื่มรสชาติอร่อยจาก Sydney ผสมผสานวัตถุดิบผลไม้และธัญพืชเช่น เบอร์รี่,ถั่วแดง, ข้าวโอ๊ต, มะม่วง ฯลฯ เป็นส่วนผสมที่เข้ากันได้ดีกับโยเกิร์ตปั่น การันตีความสดใหม่ของโยเกิร์ตที่ทำวันต่อวัน หวาน มัน อร่อย แบบไม่อ้วนอีกด้วย ด้วยเมนูเครื่องดื่มที่น่าสนใจ ทำให้เป็นที่นิยมของผู้คนทั่วโลก เมนูยอดฮิตที่อยากแนะนำได้แก่ "Yomie’s Purple Rice x Yogurt" โยเกิร์ตผสมข้าวเหนียวดำนั่นเอง


Z- Zarraffas


ที่มาภาพ : fairfieldcentral.com.au

แบรนด์ร้านกาแฟจาก Gold Coast ที่โดดเด่นด้วยโลโก้รูปยีราฟ ซึ่งที่มาของชื่อ Zarraffa นั่นมาจากภาษาอารบิกคำว่า "Zarafa" ที่มีความหมายถึง Giraffe นั่นเองแหละ กาแฟยีราฟนี้มีร้านกว่า 70 สาขาทั่วควีนแลนด์ รวมไปถึงที่ Sydney และที่ Perth อีกด้วย


จบกันไปครบทุกตัวอักษรภาษาอังกฤษ​ A-Z กันเรียบร้อย เชื่อว่าผู้อ่านหลายคนอาจจะเพิ่งรู้จักแบรนด์สินค้าใหม่ๆ จากบทความนี้ไม่มากก็น้อย มีโอกาสเมื่อไหร่ อย่าลืมที่จะอุดหนุนซื้อสินค้าจากแบรนด์เหล่านี้ล่ะ หรือเอาไปเล่าให้เพื่อนฟังก็น่าสนใจไม่แพ้กัน

22


คุณรู้หรือไม่?...ข้าวของเครื่องใช้ แบรนด์สินค้าต่างๆที่ใช้งานกันทุกวัน ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากประเทศออสเตรเลียแทบทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ระดับโลก หรือแม้แต่ยี่ห้อท้องถิ่นที่พบเห็นตลอด วันนี้เราจะพาผู้อ่านมาทำความรู้จักแบรนด์สินค้า, อาหาร, ร้านค้า เหล่านี้ที่มีจุดกำเนิดจากประเทศออสเตรเลีย โดยไล่เรียงตามตัวอักษรทั้งแต่ A ถึง Z กันไปเลย เชื่อว่ามีหลายแบรนด์ที่เราคุ้นเคยมานาน และบางแบรนด์ที่ก่อตั้งในรัฐควีนส์แลนด์ก็มีเหมือนกัน


A- Arnott’s


ที่มาภาพ : jennidoran.com/arnotts

เริ่มต้นด้วยบริษัทจัดจำหน่ายขนมนมเนยที่พบเห็นได้ทั่วไปตามซุปเปอร์ฯ กับขนมชื่อดังอย่าง 'Tim Tam' บิสกิตเคลือบช็อกโกแลตยอดฮิต ที่กลายเป็นของฝากยอดฮิต และนอกจากนั้นยังมีขนมรูปแบบอื่น ทั้งแครกเกอร์รสหวานมันเค็ม, คุกกี้สอดไส้รสชาติต่างๆ ฯลฯ เรื่องน่ารู้คือแบรนด์ Arnott’s ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1827 โดยคุณ 'William Arnott' เกือบ 200 ปี ที่เริ่มต้นจากร้านอบขนมปังและลูกกวาด สู่การสร้างโรงงานบิสกิตยักษ์ใหญ่ระดับโลก คู่กับโลโก้รูปนกแก้ว ที่วาดโดยคนในครอบครัวของคุณ William Arnott นั่นเอง


B- Bundaberg Rum


ที่มาภาพ : viator.com

แบรนด์เครื่องดื่มแอลกอฮอล์รูปหมีขาว ที่ได้รับรางวัลระดับโลก ที่สำคัญต้นกำเนิดเริ่มจากรัฐควีนส์แลนด์มาตั้งแต่ปี 1888 ปัจจุบันมี​สินค้าที่โด่งดังอย่างเช่น Rum ที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นของ Cocktail หลากหลายเมนูในทุกวันนี้


C- Coles


ที่มาภาพ : finance.nine.com.au

คิดจะซื้อของเข้าบ้านทีไร อดไม่ได้ที่จะต้องแวะเข้า Coles ทุกที เราทราบกันดีว่าที่นี่เป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตที่จำหน่ายสินค้า อาหาร ของใช้ หลากหลายครบครัน แถมจัดรายการสินค้าโปรโมชั่นอยู่ตลอด ไม่ขาดสาย ย้อนกลับไปในปี 1914 คุณ 'GJ Coles' ได้เริ่มต้นธุรกิจร้านค้า จำหน่ายสินค้าอาหาร ให้ชาวออสเตรเลียสามารถจับจ่ายในราคาที่เข้าถึงได้ โดยเริ่มต้นที่รัฐ​ Victoria เป็นแห่งแรก ต่อมาผ่านร้อนผ่านหนาว ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจรวมไปถึงยุคสงครามโลกครั้งที่สอง ทำให้ Coles ในทุกวันนี้แข็งแกร่งและยืนหยัดคู่กับชาวออสซี่มาร่วมร้อยกว่าปีเลยทีเดียว


D- Dulux


สีทาบ้านยี่ห้อดังที่มีจุดกำเนิดมาตั้งแต่ปี 1904 ที่ Port Adelaide โดยนำคำว่า ‘Durable’ กับคำว่า ‘Luxury’ มารวมกันกลายเป็นชื่อแบรนด์ในทุกวันนี้นั่นเอง



E- Emu Spirit


ยี่ห้อน้ำมันที่ผลิตจากไขมันสัตว์ของตัวนกอีมู ต้นกำเนิดจากชาว Aboriginal ที่ใช้มาร้อยกว่าปี สามารถทาบนผิวหนัง เพื่อให้ผิวชุ่มชื้น แถมยังอุดมไปด้วยวิตามิน มีสรรพคุณช่วยลดการอักเสบบริเวณผิวหนังได้อีกด้วย


F- Frank Body


ที่มาภาพ : meccabeauty.co.nz

ใครอยากผิวเนียนใสล่ะก็ ลองใช้ Coffee Scrub สครับจากกากกาแฟจากแบรนด์ Frank Body ดู ด้วยส่วนผสมหลักของกากกาแฟที่อุดมไปด้วยวิตามิน E และคาเฟอีน ผสมผสานกลิ่นหอมจากธรรมชาติทำให้ผิวพรรณชุ่มชื้น มีชีวิตชีวาขึ้นอีกด้วย นอกจากนี้ยังมีสินค้าเพื่อการบำรุงผิวอีกมากมายของแบรนด์ เพื่อการปรนนิบัตรผิวตั้งแต่หัวจรดเท้าได้เองที่บ้าน ก่อนที่จะมาเป็น Frank Body ในวันนี้ เริ่มต้นจากความมุ่งมั่นของกลุ่มเพื่อน 5 คน ที่จะนำกากกาแฟ วัตถุดิบจากธรรมชาติมาเป็นตัวช่วยในการดูแลผิวพรรณ เพื่อการดูแลร่างกายและการผ่อนคลาย ด้วยแนวคิดนี้ได้ต่อยอดมาเป็นแบรนด์ Skincare ที่จำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ


G- Golden Circle


ที่มาภาพ : steelcitybevco.com.au

ยี่ห้อเครื่องดื่มน้ำผลไม้ ที่มีจุดเริ่มต้นจากโรงงานสัปปะรดกระป๋องจากรัฐควีนส์แลนด์ สู่การเป็นผู้นำด้านผลิตและจำหน่ายน้ำผลไม้ที่กว้างขวางในทุกวันนี้ สินค้าที่จำหน่าย ที่พบเห็นได้บนชั้นวางในซุปเปอร์ฯ ก็มีตั้งแต่ น้ำสัปปะรด, น้ำแอปเปิ้ล, น้ำฝรั่ง ฯลฯ มีทั้งแบบกล่องและแบบขวดลิตรกินได้ทั้งอาทิตย์เลยทีเดียว


H- Holden


บริษัทรถยนต์สัญชาติออสเตรเลีย ซึ่งเป็นหนึ่งในแบรนด์ลูกของ 'General Motors' ผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ระดับโลกจากสหรัฐอเมริกา จากแบรนด์จำหน่ายอานม้าในอดีต พัฒนาทางเทคโนโลยีการขนขับขี่ จนกลายมาเป็นแบรนด์รถยนต์ยี่ห้อ Holden โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ช่วงปี 1940 ต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน


I- Inika


มาทำความรู้จักกับแบรนด์เครื่องสำอาง Organic กับ 'Inika' แบรนด์ที่มีต้นกำเนิดจากเมืองซิดนีย์ในปี 2006 กับจุดมุ่งหมายที่อยากทำผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่สามารถชะล้างสารเคมีจากใบหน้า ด้วยวัตถุดิบที่บริสุทธิ์และสกัดจากธรรมชาติ ไร้สารที่ก่อให้เกิดการระคายเคือง ผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายมีทั้งรูปแบบ Skincare เพื่อการบำรุงผิวและ Make Up สำหรับความสวยงาม ใครที่มองหาแบรนด์เครื่องสำอางแนวคิดนี้ล่ะก็ ถือว่าเป็นแบรนด์สัญชาติออสซี่ที่น่าสนใจไม่แพ้แบรนด์อื่นๆเลย หาซื้อได้ที่ห้างสรรพสินค้า Myer และ Devid Jones ได้เลย


J- Jetstar


ที่มาภาพ : skytraxratings.com

สายการบินดาวส้มที่มีเส้นทางบินในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เริ่มต้นจากการเป็นสายการบินภายในประเทศตั้งแต่ปี 2004 จนถึงทุกวันนี้ได้ขยับขยายเส้นทางการบินไปยังต่างประเทศทั่วทวีปเอเชีย ทั้งญี่ปุ่น, สิงคโปร์ และนิวซีแลนด์ ด้วยแนวคิดของสายการบิน ที่บินได้ในราคาประหยัด และมีมาตรฐานระดับโลก จนเป็นสายการบินที่ได้รับรางวัลหลายปีซ้อน


K- K-Mart


ห้างสรรพสินค้าที่จำหน่ายสินค้าครบครันแทบจะทุกประเภท ทั้งเสื้อผ้า, ข้าวของเครื่องใช้, อุปกรณ์อิเลคทรอนิกส์ ฯลฯ ปัจจุบันมีสาขามากถึง 200 กว่าสาขาในประเทศ และอีก 25 สาขาที่ประเทศนิวซีแลนด์ ก่อตั้งมาอย่างยาวนานถึง 50 กว่าปี


L- Lucas Paw Paw


ที่มาภาพ : thenewdaily.com.au

ครีมหลอดสีแดงยอดฮิต ที่ซื้อใช้เองก็ได้ ซื้อฝากก็ดี อย่าง Lucas Paw Paw ขี้ผึ้งคุณภาพเยี่ยมที่มีมาอย่างยาวนานกว่าร้อยปี จาก 'Dr. T.P. Lucas' ผู้คิดค้นสูตรคุณภาพจากมะละกอและส่วนผสมอื่นๆเข้าด้วยกัน กลายเป็นครีมที่สามารถรักษาแผลขีดข่วน, แผลไฟไหม้ หรือการถลอกจากการเสียดสี รวมไปถึงผดผื่นบนผิวเด็กอีกด้วย ซื้อติดบ้านติดตัวไว้ อุ่นใจ


M- Milo


ที่มาภาพ : foodnavigator-asia.com

รู้หรือไม่ว่า 'ไมโล’ เครื่องดื่มรสช็อกโกแลตที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่วัยเยาว์นั้น แท้จริงมีต้นกำเนิดการพัฒนาสูตรมาจากชาวออสเตรเลียชื่อ ‘Thomas Wayne’ มาตั้งแต่ปี 1934  มีจุดเริ่มต้นการจำหน่ายครั้งแรก ในงาน Sydney Royal Easter Show ที่เป็นงานแห่งการเฉลิมฉลองประจำปี โดยคิดค้นเครื่องดื่มที่ให้ทั้งพลังงานและสารอาหารที่ครบถ้วน โดยยังมีรสชาติที่หวานมันอร่อย ถูกใจผู้คนทุกเพศทุกวัย กว่า 80 ปีจนถึงปัจจุบัน ที่ไมโลจำหน่ายไปในทั่วโลกและถูกนำไปพัฒนาในขนมอื่นๆเพื่อให้ทานได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ซีเรียลและขบเคี้ยวอื่นๆ เป็นที่ชื่นชอบทั้งเด็กและผู้ใหญ่


ผ่านไปครึ่งทางกับแบรนด์สัญชาติออสเตรเลีย บทความต่อมาจะมาบอกเล่าตั้งแต่ N ถึง Z จะมีแบรนด์ไหนบ้าง รู้จักคุ้นเคยบ้างหรือเปล่า เรามาติดตามกัน

23


ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา
ประเทศไทยประกาศเปิดรับนักท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ ทำให้ใครหลายคน ต่างเริ่มวางแผนที่จะกลับบ้านพบปะครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา หลังจากที่ไม่ได้เจอกันมาเป็นเวลาหลักปี แน่นอนว่ากลับไทยทั้งที ควรจะมีของฝากอะไรติดไม้ติดมือกลับไปให้คนที่บ้านกัน ว่าแต่...ใครที่ยังไม่มีไอเดียล่ะก็ วันนี้เราจะมาแนะนำสินค้าของฝาก ที่ควรค่าแก่กับครอบครัวเพื่อนฝูงที่ไทยกัน


สินค้าทั่วไปตามร้านของที่ระลึก


ที่มาภาพ : australiathegift.com.au


      ของฝากยอดนิยมอันดับแรกของใครหลายคน คงหนีไม่พ้นสินค้าจิปาถะที่พบได้ตามร้านขายของที่ระลึก ไม่ว่าจะเป็น Postcard ที่เป็นรูปภาพเมือง หรือจะเป็น แม่เหล็กติดตู้เย็น พวงกุญแจลายน่ารักๆ มีธงสัญลักษณ์ประเทศประดับ หรือจะเป็นป้ายบอกทางย่อส่วน ไว้ตกแต่งห้อง ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ข้อดีคือราคาย่อมเยา แถมน้ำหนักเบาด้วย สามารถซื้อได้ปริมาณมากๆ แจกได้หลายคนเลย สินค้าที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัวในร้านของที่ระลึก คือ Stubbie หรือปลอกผ้าที่ใส่ขวดเบียร์ เป็นไอเทมที่ใช้ประโยชน์ได้จริง แถมสื่อถึงไลฟ์สไตล์ชาวออสซี่ได้อย่างชัดเจน ว่าชื่นชอบการดื่มมากแค่ไหน

เครื่องสำอาง น้ำหอมราคาย่อมเยา (กว่าไทย)


ที่มาภาพ : vvishop.com

      หากพูดถึงของเด่นของดีประจำประเทศในฝั่งเครื่องสำอางล่ะก็ คงหนีไม่พ้น ครีมรกแกะ เนื้อครีมเข้มข้น ที่ใช้ทาผิวก็ได้ทาหน้าก็ดี(ในบางตัว) ช่วยทำให้ผิวเราชุ่มชื่นและดูอ่อนเยาว์ อีกหนึ่งสินค้ายอดฮิต คงเป็น Lucas Papaw Ointment สีผึ้งหลอดแดง ที่หาได้ตามร้านค้าทั่วไป เจ้าหลอดเล็กๆนี้ สามารถใช้งานได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะผิวแห้งหรือผิวไหม้ สีผึ้งหลอดแดงช่วยบรรเทาได้ อีกหนึ่งอย่างที่เราชื่นชอบเป็นการส่วนตัว คือการเลือกซื้อน้ำหอม นอกจากราคาถูกกว่าที่ไทยแล้ว บางยี่ห้อยังมีโปรโมชั่นดึงดูดให้เราซื้อแบบไม่กระทบกระเป๋าสตางค์ นอกจากนี้ยังมีแบรนด์เครื่องสำอางสัญชาติออสเตรเลีย ที่น่าหยิบน่าลองทั้งซื้อฝาก และใช้เองด้วย เช่น Aesop, Sukin ฯลฯ


แยม Vegemite


ที่มาภาพ : image.entabe.jp

      หากมีเพื่อนคนไหน ชื่นชอบการลองทานอะไรใหม่ๆแล้วก็ อย่าลืมหยิบแยมกระปุกนี้ติดมือกลับไปบ้านด้วยล่ะ  นี่คือแยมผักรสชาติเป็นเอกลักษณ์และมีคุณค่าทางอาหารสูง ทาบนขนมปังปิ้งตอนเช้าก็ได้ ทานเปล่าๆก็ดี สำหรับชาวไทยอย่างเรา ทานครั้งแรกอาจจะรู้สึกไม่ชอบ แต่พอทานไปเรื่อยๆอาจจะติดใจโดยที่ไม่รู้ตัวเลยก็ได้


บิสกิต Tim Tam




ที่มาภาพ : static01.nyt.com


      เอาใจสายกินอย่างต่อเนื่อง กับขนมหวานทานง่าย กินได้ทุกเพศทุกวัย ไม่ว่าใครๆคงคุ้นเคยกับแบรนด์นี้มาก่อน เพราะเป็นแบรนด์บิสกิทช็อกโกแลตสัญชาติออสซี่ ที่มีหลากหลายรสชาติให้เราได้ทดลองชิมกันมากกว่าที่ขายในประเทศไทย แถมราคาก็ถูกแสนถูกกว่ามาก ซื้อติดกลับรสละกล่องยังสบายน้ำหนักกระเป๋าอีกด้วย


ผลิตภัณฑ์จากจิงโจ้




ที่มาภาพ : cdn.shopify.com

      
จิงโจ้ สัตว์ที่เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์คู่บ้านคู่เมืองของประเทศเลยก็ว่าได้ หลายคนได้ยินแค่ชื่อว่าหนังจิงโจ้ อาจจะตกใจและคิดว่าเป็นสิ่งต้องห้าม แท้จริงแล้วจิงโจ้ไม่ใช่สัตว์ป่าสงวนในประเทศ แต่สามารถล่าเพื่อนำมาผลิตเป็นสินค้าได้อย่างถูกต้อง รวมไปถึงการนำมาบริโภคก็ย่อมได้เช่นกัน เห็นได้จากโซนเนื้อสัตว์ในซุปเปอร์มาร์เก็ต ผลิตภัณฑ์ที่มีการนำหนังจิงโจ้ อาทิ รองเท้า, กระเป๋าสตางค์ หรือหมวกทรงคาวบอย แต่ถ้ารู้สึกว่าดูน่ากลัวไป ยังไงซื้อเป็นตุ๊กตาจิงโจ้กลับไปฝากบ้านแทน ก็น่ารักกว่านะ


ผลงานศิลปะจากชาว Aboriginal







ที่มาภาพ : artsupplies.co.uk, mindil.com.au

      ชาวพื้นเมืองที่เราไม่พูดถึงไม่ได้เลย กับชาว Aboriginal ชนเผ่าดั้งเดิมของประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่จะถูกรุกรานจากชาวยุโรป ที่ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้พบเจอพวกเขาในเมืองได้บ่อยนัก แต่เรื่องราวและภูมิปัญญาของพวกเขา ถูกแฝงอยู่กับสิ่งรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะทั้งใน Museum จนไปถึง Street Graffiti ในบางเมือง หรือจะเป็นผลิตภัณฑ์ท้องถิ่น อย่างบูมเมอแรง, เครื่องดนตรี ที่พบได้ตามร้านขายของที่ระลึก สิ่งที่ค่อนข้างโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน คือสีสันและลวดลาย ที่แต่งแต้มบนลงผลงานต่างๆให้เราได้เลือกซื้อ ทั้งชิ้นงานศิลปะ, เสื้อยืด, ตุ๊กตา, Postcard รวมไปถึงของใช้ใกล้ตัว อย่างแก้วน้ำ,​สมุดจด, กระเป๋า ทั้งน่าซื้อฝาก และน่าใช้เองเหมือนกัน

24



ผ่านไปไวเหลือเกิน...
สำหรับตลอดปี 2021 ปีที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย ยิ่งกว่าทุกๆปี อีกอึดใจเดียวเท่านั้น จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลองเพื่อเข้าสู่ปี 2022 แม้สถานการณ์ Covid-19 ทำให้หลายๆกิจกรรมที่จะจัดขึ้น ต้องเลื่อนหรือยกเลิกกันออกไป อย่างเช่นงานใหญ่ประจำปีอย่าง Ekka แต่เมื่อเวลาผ่านไป การจัดการก็เริ่มดีขึ้น เมืองกำลังจะกลับมาสดใสและสนุกเหมือนเดิม วันนี้เราจะมาดูอีเวนต์ที่กำลังจะจัดในช่วงสามเดือนสุดท้ายนี้ มีงานอะไรที่น่าสนใจให้เราได้ไปสนุกกันบ้าง ไปดูกัน


- Health -

Medibank Feel Good Program South Bank l  4 Oct.- 4 Dec.




ที่มาภาพ : cdn.eventfinda.com.au

ฤดูกาลในช่วงสิ้นปีนี้แสนจะสดใส (ร้อนบ้างในบางวัน) เหมาะกับการออกมานอกบ้านเพื่อรับอากาศบริสุทธิ์  และมาออกกำลังกายกันที่นี่ กับงาน Medibank Feel Good งานประจำปีที่จัดขึ้นที่ South Bank Parklands คืออีเวนต์ออกกำลังกายที่มีเทรนเนอร์ผู้เชี่ยวชาญ มานำสอนภายในงาน กิจกรรมเริ่มตั้งแต่เช่าตรู่ มีทั้งโยคะ, Pilatis หรือจะเป็นการสอนเต้นสไตล์ลาติน, Tai Chi หรือจะ Zumba เผาผลาญไขมันในช่วงเย็นก็มี สามารถเข้าไปดูตารางการออกกำลังกายได้ที่ https://www.visitbrisbane.com.au/feelgood/program-timetable?sc_lang=en-au เตรียมเสื่อโยคะ ในรองเท้ากีฬา ไปยืดเส้นออกกำลังกายได้ฟรีๆภายในงานเลย


- Market -

Etsy Made Local Market l 12-14 Nov.



ที่มาภาพ : concreteplayground.com

ทำงานเก็บตังค์มาทั้งปี ถึงเวลามาช้อปปิ้งกัน โดยเฉพาะผู้ที่ชื่นชอบผลงาน Handmade ล่ะก็ คงจะคุ้นชื่อเว็บไซด์อย่าง Etsy.com ที่ครั้งนี้ย้ายร้านจากหน้าจอ มาตั้งร้านจริงกันในงาน สินค้า งานประดิษฐ์ที่นำมาจำหน่ายนั้น ทั้งสวยงามและน่ารักไม่เหมือนใครอีกต่างหาก จะใช้เองหรือจะซื้อให้เป็นของขวัญ ก็ดีเหมือนกัน นอกจากจะมีงานฝีมือให้เราได้เลือกซื้อแล้ว  ภายในงานก็มีมาโชว์และจำหน่ายสินค้า Vintage เช่นเดียวกัน งานจัดที่ Brisbane Showgrounds มีค่าเข้างานเพียง $2 และเป็นรูปแบบ Cashless อีกด้วย อย่าลืมเตรียมบัตรไปรูดด้วยล่ะ


- Travel -

Tides of Brisbane Boat Tour l  3 Nov. - 19 Dec.



ที่มาภาพ : museumofbrisbane.com.au

เปลี่ยนการนั่ง CityCat แบบเดิม ให้เป็นการล่องเรือในมุมมองใหม่ กับทริปที่พาเราไปทำความรู้จักกับบริสเบนกันให้มากขึ้นบนเส้นทาง Brisbane River เริ่มต้นจาก City Botanic Garden ล่องตามแม่น้ำชมอาคารสถาปัตยกรรมที่สวยงามตลอดสองข้างทาง โดยมีไกด์ที่คอยบอกเล่าเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ตลอด 3 ชั่วโมงที่อยู่บนเรือ ระหว่างทางแวะที่ Sea Legs Brewing Co. โรงเบียร์ท้องถิ่นที่อยู่คู่เมืองบริสเบนมาอย่างยาวนาน และแน่นอนความพิเศษแบบนี้จัดขึ้นไม่บ่อยนัก ใครสนใจทริปนี้ เริ่มตั้งแต่วันที่ 3 พฤศจิกายน โดยเรือออกทุกวันพุธและวันอาทิตย์ จนถึงวันที่ 19 ธันวาคม และที่นั่งมีจำนวนจำกัดอีกด้วย หากสนใจ รีบเข้าไปจองได้ที่นี่เลย https://www.museumofbrisbane.com.au/whats-on/tides-of-brisbane-boat-tour/


- Music -

Valley Fiesta 2021 | 28 – 30 Oct.



ที่มาภาพ : concreteplayground.com

เอาใจใครชื่นชอบการฟังเพลงกันต่อ กับงานฟรีคอนเสิร์ตที่เป็นการรวมตัวของศิลปินท้องถิ่นกว่า 150 ชีวิต ที่หมุนเวียนขึ้นมาจัดแสดงใน 21 เวที โดยมีรูปแบบดนตรีหลากหลาย ทั้ง Pop, Rock, Indy หรือจะมันส์ๆอย่าง DJ Set ก็มี งานนี้จัดขึ้นตามร้านต่างๆในย่าน Fortitute Valley งานนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากไม่เกิดการร่วมมือกันระหว่าง Brisbane City Council และ QMusic (Queensland Music) ที่จัดงานนี้ขึ้นเพื่อผลักดันวงการดนตรีในเมืองและรัฐ Queenlandsให้เป็นที่รู้จักนั่นเอง สามารถเข้าไปดูตารางและซื้อบัตรเข้าชมได้ที่ https://www.qmusic.com.au/programs/valley-fiesta ซื้อบัตรแล้วอย่าลืมแปะ #ValleyFiesta2021 ให้เพื่อนๆอิจฉากันด้วยล่ะ


Factory Summer Festival 2021 l 31 Dec.



ที่มาภาพ : concreteplayground.com

ก้าวเข้าเดือนธันวาคมเมื่อไหร่ นั่นคือการเข้าสู่ช่วงเวลาของการเฉลิมฉลองอย่างเป็นทางการ ทั้งวันคริสมาสต์เอย หรือเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ โดยเฉพาะปาร์ตี้งาน New Year’s Eve ที่ผู้คนต่างร่วมนับถอยหลังเข้าสู่ปีใหม่พร้อมกัน สร้างความประทับใจและประสบการณ์ที่น่าจดจำครั้งหนึ่งในชีวิต ก่อนเริ่มต้นเข้าปีใหม่ หากใครยังไม่มีแพลนหรือไปเคาท์ดาวน์ที่ไหนล่ะก็ ขอแนะนำงานนี้เลย Factory Summer Festival 2021 โดยจะจัดที่ Eagle Farm Racecourse สนุกไปกับดนตรีสดสุดมันส์ เต้นกันข้ามปีไปเลย หากใครสนใจล่ะก็ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมและซื้อบัตรกันได้ที่ https://factoryfestival.com.au/#


- Art & Design -

Imaginaria l 3 Sep.- 30 Nov.





ที่มาภาพ : concreteplayground.com

นี่คืองาน Art Installation เหมาะกับใครที่อยากรับชมงานศิลปะแนวใหม่ งานนี้เปรียบเสมือนสนามเด็กเล่นของผู้ใหญ่เลยก็ว่าได้ เพราะมีการจัดแสดงพื้นที่ที่สร้างความรู้สึกแปลกใหม่ แถมมีมุมถ่ายภาพที่น่าสนใจ ด้วยการจัดแสง สี เสียง หรือจัดสเปซด้วยวัสดุเช่นลูกบอล ทั้งดูลึกลับน่าค้นหา จนไปถึงล้ำสมัยไปเลยก็มี งานนี้จัดขึ้นทั้งสองเมืองเลย ทั้งที่นี่ และ Melbourne อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรให้ภาพลองเล่าเรื่องได้ใน  https://imaginarianow.com/brisbane/about/ ค่าเข้าชมเริ่มต้นที่ $23. 95 สำหรับผู้ใหญ่


Van Gogh Alive l 29 Oct. เป็นต้นไป





ที่มาภาพ : concreteplayground.com

อีกงานศิลปะที่ไม่ควรพลาดเลยทุกประการ กับการโอกาสได้ชมงานศิลปะระดับโลกของ Van Gogh ผ่านการนำเสนอในรูปแบบใหม่ ที่เปลี่ยนจากงานบนผืนผ้าใบ มาเป็น Motion Graphic ภาพเคลื่อนไหว ที่มาพร้อมแสงสีที่ให้ผู้เข้าชม เกิดความรู้สึกกับงานของ Van Gogh ในอีกรูปแบบ ประหนึ่งทำให้งานศิลปะที่แสนคลาสสิค กลับขึ้นมามีชีวิตอีกครั้ง งานนี้จัดขึ้นที่ Northshore Brisbane สามารถนั่ง CityCat Ferry มาลงที่ Northshore Hamilton Ferry Terminal ได้เลย ใครสนใจและอยากซื้อบัตรเข้าชมล่ะก็ เข้าไปใน https://vangoghalive.com.au/brisbane/ ได้เลย


อีกไม่กี่เดือนก็จะหมดไป หันมาทบทวนตัวเองและออกไปเรียนรู้สิ่งใหม่รอบตัว และอย่าลืมเติมความสุขพร้อมกับคนรอบข้าง ผ่านกิจกรรมที่จัดขึ้น ก่อนที่จะก้าวเข้าสู่ปี 2022 อย่างเป็นทางการ

25


รู้หรือไม่ว่า...
ประเทศออสเตรเลีย นอกจากที่จะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงามและหลากหลายแล้ว ในหลายที่เอง ยังได้รับการยกย่องให้เป็นสิ่งมหัศจรรย์จนถูกขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลก (World Heritage Site) จากองค์กร UNESCO มากถึง 20 แห่งเลยทีเดียว นอกจากเหตุผลด้านความสวยงาม  หรือความโดดเด่นทางด้านภูมิศาสตร์อย่างไม่มีที่ไหนบนโลกแล้ว ยังมีเรื่องราวและประวัติศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อมวลมนุษย์เลย ในวันนี้ขอคัด 5 สถานที่มรดกโลกที่น่าสนใจในประเทศออสเตรเลีย ก่อนที่จะเริ่มออกเดินทาง เรามาทำความรู้จักสถานที่เหล่านี้กันว่ามีที่ไหนบ้าง




Uluru-Kata Tjuta


ที่มาภาพ : pixabay.com

โขดหินทรายที่ตั้งอยู่ใจกลางประเทศอันร้อนระอุ ตั้งอยู่ในรัฐ  Northern Territory เป็นแลนด์มาร์คที่ผู้คนต่างคุณเคยกัน จากหน้าโปสเตอร์หรือของชำร่วยต่างๆ นักโบราณคดีเชื่อว่าที่แห่งนี้มีผู้คนอาศัยอยู่บริเวณรอบมาตั้งแต่ 10,000 ปีก่อน และที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาว Aboriginal ที่ต่างให้ความเคารพมาอย่างยาวนาน และเชื่อว่าเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของบรรพบุรษ ดังนั้นการเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวจุดนี้ ควรไปด้วยความเคารพและไม่ทำลายพื้นที่ หากพูดถึงลักษณะภายนอก Uluru คือโขดหินที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีความสูงถึง 348 เมตร เส้นรอบวงที่ฐานวัดได้ 9 กิโลเมตร ได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1987 หากสนใจอยากท่องเที่ยวนั้นไม่ยาก สามารถใช้บริการแพกเก็จทัวร์ท่องเที่ยว หรือจะเดินทางไปเองด้วยเครื่องบินลงที่สนามบิน Alice Springs และเช่ารถขับไปก็ได้เช่นกัน สิ่งที่ต้องไปทำนอกจากเยี่ยมชมสถานที่โดยรอบแล้ว อยากให้ลองไปในช่วงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นและพระอาทิตย์ตก โดยมีฉากด้านหน้าเป็นโขดหินสีน้ำตาลที่เฉดสีเปลี่ยนไปตามเวลา โรแมนติกและสวยงามสุดๆเลยทีเดียว




Royal Exhibition Building และ Carlton Gardens


ที่มาภาพ : whatson.melbourne.vic.gov.au

อาคารสถาปัตยกรรมสุดคลาสสิก ตั้งอยู่ใจกลางเมือง Melbourne ในรัฐ Victoria หากแปลเป็นไทย คงต้องเรียกอาคารนี้ว่า “อาคารนิทรรศการหลวง” นี่คืออาคารแห่งแรกในออสเตรเลีย ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกของประเทศเมื่อปี 2004 ที่ผ่านมา อาคารแห่งนี้ถูกสร้างเมื่อปี  ค.ศ.1880 ในสไตล์​ Gothic เริ่มต้นใช้งานเป็นอาคารจัดแสดงนิทรรศการ ต่อมาถูกเปลี่ยนมาเป็นอาคารรัฐสภาในปี ค.ศ.1901 โดยรอบอาคารรายล้อมด้วยการแต่งสวนสไตล์ยุโรปอย่าง Carlton Gardens อันเขียวขจี โดยเฉพาะฤดูใบไม้ผลิในช่วงนี้ ที่ผู้คนทั่วไปสามารถมานั่งพักผ่อนหย่อนใจ ท่ามกลางบรรยากาศสุดร่มรื่น การเดินทางก็แสนง่าย หากอยู่ในตัวเมือง Melbourne ก็สามารถนั่งรถราง (Tram) จากตัวเมืองได้เลย






แนวปะการัง Great Barrier Reef


ที่มาภาพ : api.time.com

เราอาจคุ้นเคยกับที่แห่งนี้ว่า เป็นแนวปะการังที่ยาวที่สุดในโลกมาตั้งแต่บนหน้าหนังสือเรียน นอกจากที่นี่จะมีขนาดพื้นที่ใหญ่ และถูกขึ้นทะเบียนเมื่อปี 1981 แล้ว ยังมีความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ที่ Great Barrier Reef คือแหล่งรวมปะการังมากถึง 400 ประเภท มีปลาแหวกว่ายมากกว่า 1,500 สปีชีส์ และมีเกาะมากถึง 600 เกาะ แน่นอนว่าสิ่งมีชีวิตบางประเภทมีแค่เฉพาะที่นี่ แต่ด้วยปัญหาทางสภาพอากาศอย่างสภาวะโลกร้อน ที่ทำให้อุณหภูมิน้ำทะเลอุ่นขึ้น ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังและระบบนิเวศเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะปัญหาปะการังฟอกสี น่าเศร้าว่า 2 ใน 3 ของแนวปะการัง ได้กลายเป็นปะการังตาย หากใครมีโอกาสแนะนำว่าให้ลองไปดำน้ำ Scuba Diving ที่นี่ ก่อนที่ความสวยงามจะสูญหายไปตามกาลเวลา หากพูดถึงการท่องเที่ยว สามารถเดินทางได้จาก Brisbane โดยลงที่สนามบิน Crains และมองหาแพกเกจทัวร์ได้เลย หรือจะจัด Road Trip จาก Brisbane เองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน




Macquarie Island


ที่มาภาพ : parks.tas.gov.au

ใครมองหาการท่องเที่ยวแบบใหม่อยู่ล่ะก็ พื้นที่เล็กๆแห่งนี้ตั้งอยู่ทางใต้สุดของประเทศระหว่างประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์  ทั้งห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่ ใกล้กับขั้วโลกใต้เหมือนได้ไปเยือนอีกโลกหนึ่งเลยก็ว่าได้ ที่นี่ถูกลงทะเบียนให้เป็นมรดกโลกมาเมื่อปี 1992 มีความพิเศษตรงที่พื้นผิวบนเกาะนั้นไม่เหมือนกับพื้นผิวเกาะแห่งไหนบนโลก เพราะเป็นเนื้อหินที่เรียกว่า Mentle ซึ่งเป็นชั้นหินใกล้กับแกนกลางของโลก ได้ดันตัวขึ้นมาเป็นพื้นที่เกาะแห่งนี้ ส่งผลให้สภาพภายนอกและระบบนิเวศ ดูแตกต่างจากผืนดินที่เราเหยียบในทุกวัน แน่นอนว่าบนเกาะนี้ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ถาวร มีแต่นักวิจัยเข้าไปสำรวจพื้นที่ตามฤดูกาล ด้วยอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 3 องศาเซลเซียส เกาะแห่งนี้ได้กลายเป็นหมุดหมายสำหรับใครที่อยากมาสัมผัสบรรยากาศที่ใกล้เคียงกับขั้วโลก สามารถชมระบบนิเวศ หรือวิถีชีวิตของเพนกวินและแมวน้ำบนเกาะ ดังนั้นการเดินทางจึงมีวิธีเดียว คือทางเรือ ที่ต้องใช้เวลาถึง 3-4 วัน กว่าจะถึงจุดหมาย สามารถเดินทางได้ทั้งจากเกาะ Tasmania หรือประเทศนิวซีแลนด์


ที่มาภาพ : responsibletravel.com




Fraser Island


ที่มาภาพ : en.wikipedia.org/wiki/K%27gari


ที่มาภาพ : fraser-tours.com

อีกหนึ่งเกาะขนาดใหญ่ที่อยู่ในรัฐ Queensland ใครที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวแบบ Camping ล่ะก็ ที่นี่เป็นที่จุดที่สามารถเดินทางได้จากตัวเมือง Brisbane ได้ Fraser Island คือเกาะทรายขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่มีความยาวไกลถึง 122 กิโลเมตร เกาะขนาดใหญ่ขนาดนี้เกิดจากการทับถมทราย พัดพาเข้ามาอย่างยาวนานถึง 750,000 ปี จากสันทราย เกิดเป็นเกาะทรายที่มีระบบนิเวศบนเกาะเป็นของตัวเอง แตกต่างจากเกาะทั่วไป เช่นการที่บนเกาะมีบ่อทะเลน้ำจืดมากกว่า 100 แห่ง หรือ Dingo สัตว์นักล่าประจำเกาะ ที่ภายนอกน่ารักเหมือนสุนัข แต่มีความดุร้ายดั่งหมาป่า และยังมีแบคทีเรียบางชนิดอยู่ใต้ผืนทรายแห่งนี้มาอย่างยาวนาน ทำให้ที่นี่เป็นจุดเดียวบนโลกที่ป่าดิบชื้นสามารถเติบโตบนพื้นทรายได้ จุดท่องเที่ยวยอดนิยมบนเกาะที่อยากแนะนำ ก็ได้แก่ ทะเลสาบ Mckenzie ซึ่งทรายที่มีส่วนผสมของซิลิกา เป็นจำนวนมาก ทำให้มีความขาวนวลละเอียดกว่าทรายที่ไหนๆ และยังมีความพิเศษที่หลากหลายนี้เอง ทำให้เกาะแห่งนี้ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี 1992 นั่นเอง


ที่มาภาพ : en.wikipedia.org/wiki/Lake_McKenzie

ถึงแม้สถานการณ์ COVID-19 ในแต่ละพื้นที่ยังคงไม่แน่นอน ทำให้คนในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติเอง ต่างเฝ้ารอการกลับมาท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวระดับมรดกโลก ซึ่งยังคงต้องรอดูสถานการณ์กันต่อไป แต่อย่างน้อยก็บันทึกสถานที่เหล่านี้ลงใน Check List การท่องเที่ยวของเรากันล่วงหน้า ไว้ทุกอย่างพร้อม ก็สามารถออกไปท่องเที่ยวได้อย่างปลอดภัย

26



อย่างที่เราทราบกันดี ว่าประเทศออสเตรเลียเป็นอีกหนึ่งในประเทศบนโลก ที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูงเป็นอันดับต้นๆ ซึ่งนี่อาจจะเป็นเหตุผลหลักของใครหลายคน ที่ตัดสินใจเลือกที่จะมาใช้ชีวิตที่ประเทศนี้ แต่ก่อนที่จะเริ่มต้นเตรียมวีซ่า เรามาเตรียมตัวเตรียมใจ และเตรียมความพร้อมกันก่อนกับการสมัครงานที่นี่ ว่าเราต้องทำอย่างไรบ้าง ตามคำแนะนำง่ายๆ 4 หัวข้อต่อไปนี้


ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@brookecagle

1.เข้าใจข้อบังคับการทำงาน ตามประเภทวีซ่า


เป็นอันดับแรกที่ค่อนข้างสำคัญเลย​ก่อนที่จะออกไปค้นหางาน เพราะประเภทวีซ่าที่เรามีนั้น ส่งผลต่อจำนวนชั่วโมงที่เราสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย เราจะมาขอพูดถึง Student Visa (Subclass 500) กัน เชื่อว่าเป็นวีซ่าตัวแรกๆ ที่คนไทยส่วนใหญ่มักจะเริ่มต้น สิ่งที่ต้องพึงรู้ไว้นั่นคือ เราสามารถทำงานได้สูงสุด 40 ชั่วโมงต่อสองอาทิตย์ (fortnight) ไม่ว่าจะได้รับค่าจ้างหรือไม่ก็ตาม เพราะถ้ามากกว่านั้น นอกจากจะผิดกฎหมายแล้ว อาจจะทำให้เราไม่ได้โฟกัสที่การเรียนมากเท่าที่ควรนั่นเอง ส่วนใครที่ถือวีซ่าประเภทอื่นล่ะก็ สามารถเข้าไปค้นหารายละเอียดข้อบังคับได้ที่เว็บนี้เลย  https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/already-have-a-visa/check-visa-details-and-conditions/see-your-visa-conditions#






ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@rechaoktaviani

2.เตรียมหมายเลขผู้เสียภาษี  หรือ ขอใบอนุญาตตามประเภทของงาน




เมื่อรายได้เกินขึ้นภายในประเทศ ขั้นตอนต่อมาของผู้ทำงานคือการคำนวนรายรับเพื่อเสียภาษีนั่นเอง หลายๆบริษัท จำเป็นต้องมีการบันทึกเลข Tax Flie Number ของพนักงาน หรือที่เรียกกันโดยย่อว่า TFN คือหมายเลขที่ใช้ในการยื่นภาษี ในฐานะผู้ถือหนังสือเดินทางต่างประเทศอย่างเรา การได้มาของ TFN จำเป็นต้องทำการลงทะเบียนออนไลน์ด้วยตัวเอง สามารถเข้าไปดำเนินการได้ที่ www.ato.gov.au/individuals/tax-file-number/apply-for-a-tfn/ ซึ่งใช้เวลาดำเนินการ 28 วัน และสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เราควรเก็บหมายเลขนี้เป็นความลับ ไม่ควรนำไปบอกต่อกับผู้อื่น ถ้าหากหมายเลขนี้ตกอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดี มันจะสามารถนำพาไปยังข้อมูลส่วนตัวของเราได้ อย่างเช่นบัญชีธนาคาร เป็นต้น หากต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติมในส่วนของการยื่นภาษีล่ะก็ สามารถอ่านบทความภาษาไทยต่อได้ในนี้เลย https://www.ato.gov.au/uploadedFiles/Content/CR/downloads/Other_languages/Tax_in_Australia_Thai.pdf 




ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@yirage

ในบางประเภทงานเฉพาะทาง หมายเลข TFN อาจจะไม่เพียงพอ เราจำเป็นต้องทำการออกใบอนุญาตอื่นๆ เพื่อยื่นเข้าสมัครงานอีกด้วย โดยงานส่วนใหญ่ที่คนไทยนิยมเริ่มต้น นั่นก็คืองานร้านอาหาร บางร้านจะจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พนักงานร้านอย่างเรา (แม้ว่าจะเป็นเพียงคนล้างจานในร้านก็ตาม) จำเป็นต้องมีใบอนุญาตเสิร์ฟเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ด้วยเช่นกัน ใบอนุญาตนี้เรียกว่า Responsible Service of Alcohol หรือเรียกสั้นๆว่า RSA ผู้สนใจจำเป็นต้องลงทะเบียนเรียน ซึ่งเป็นคอร์สระยะสั้นประมาณ 6 ชั่วโมง โดยเริ่มต้นเรียนรู้ตั้งแต่กฎหมายพื้นฐานเกี่ยวกับการจำหน่ายแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการช่วยเหลือลูกค้าที่ไม่สามารถควบคุมการดื่มได้ เป็นต้น โดยสามารถสมัครเพื่อขอใบอนุญาตได้ตามสถาบันสอนที่ได้รับการรับรองจาก CRICOS (Commonwealth Register of Institutions and Courses for Overseas Students) เท่านั้น (แอบกระซิบด้วยว่ามีค่าสมัครด้วยนะ)






ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@linkedinsalesnavigator

3.ค้นหา ค้นหา และ ค้นหา


เป็นขั้นตอนที่ใช้เวลาแรมเดือน (หรือบางคนเป็นปี) ด้วยซ้ำ กับการค้นหางานที่เราต้องการ รูปแบบการหางานสมัยนี้ ก็มีตั้งแต่การเดิน Walk-in เข้าไปสมัครด้วยตัวเอง กับการสมัครบนหน้าจอคอมฯที่บ้าน ส่วนตัวแนะนำให้ทำไปพร้อมกันทั้งสองช่องทาง (ซึ่งก็แล้วแต่ประเภทของงานด้วยนะ) จากประสบการณ์การหางานแรกของเรานั่นคืองานร้านอาหาร สิ่งแรกที่เราเริ่มต้น คือการมองหาร้านอาหารใกล้กับที่พัก หรือที่ๆเราสามารถเดินทางไปกลับได้เอง ในขณะเดียวกันก็ค้นหาร้านที่ประกาศรับสมัครพนักงานตามเว็บไซด์ และแน่นอน Website thaibrisbane.com เป็นอีกหนึ่งพื้นที่ ที่สามารถค้นหางานในบริสเบน รวมไปถึงฝากงานได้ฟรีๆ ไม่มีค่าใช้จ่ายเลย ส่วนตัวเราเคยใช้เว็บ sunqld.com ซึ่งงานส่วนใหญ่จะเป็นงานร้านนวด ร้านอาหารเอเชียใน Queensland ซะเป็นส่วนใหญ่ หรือหากต้องการค้นหาลักษณะงานที่กว้างขึ้น seek.com.au คือเว็บไซด์ยอดฮิตของประเทศเลยก็ว่าได้ หรือจะเป็น au.indeed.com เองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน หากใครมองหาสายงานออฟฟิศอยู่ล่ะก็ คงไม่มีใครไม่รู้จัก linkedin.com เว็บไซด์ที่เราสามารถฝากโปรไฟล์ประวัติการทำงานเราได้อย่างเต็มที่ เผื่อวันดีคืนดี อาจจะโอกาสดีๆ อาจจะตกมาที่เราก็ได้





ที่มาภาพ : https://unsplash.com/@linkedinsalesnavigator

4.นำเสนอตัวเองอย่างน่าสนใจและเป็นทางการ


ไม่ว่าจะสมัครงานที่ไหนก็ตาม ผู้ว่าจ้างของเราก็อยากจะรู้จักตัวเรา มากกว่าแค่การแนะนำตัวปกติ การบอกเล่าถึงความสามารถ ประสบการณ์ต่างๆหรือผลงานที่เราเคยทำสำเร็จ นับเป็นจุดดึงดูดสำคัญ ที่ทำให้ผู้ว่าจ้างอยากรับเราเข้ามาร่วมงาน ซึ่งการเตรียมตัวสมัครงาน โดยส่วนใหญ่จะมีอยู่สองหัวข้อหลักที่ต้องทำการบ้านให้พร้อม


หัวข้อแรก : เตรียมพร้อมเอกสารต่างๆ

เป็นมาตรฐานสากลกันแล้ว สำหรับการเตรียมเอกสารเพื่อใช้ในการสมัครงาน พื้นฐานเลยที่ทุกคนต้องมี นั่นคือ Resume กระดาษเพียง 1-2 แผ่น ที่บอกเล่าถึงประสบการณ์ ความสามารถของเรา เพื่อให้ผู้ว่าจ้างสนใจในครั้งแรก นำพาเราไปยังขั้นตอนต่อไปคือการสัมภาษณ์งาน ในบางบริษัทอาจจะต้องการเอกสารอื่นๆเพิ่มเติม เพื่อความเป็นทางการ เช่น Cover Letter หรือจะเป็น CV ซึ่งทั้งสองอย่างนี้ แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ส่วนเคล็ดลับการเขียนเอกสารสมัครงานที่ดีนั้น ควรจะ “เรียบง่าย” “ตรงประเด็น”​ และ “ถูกต้องตามความเป็นจริง” นั่นเอง ตั้งใจเขียนกันให้ดีล่ะ


หัวข้อสอง : ตอบสัมภาษณ์อย่างมั่นใจ ชัดเจน และเป็นตัวของตัวเอง

เมื่อผ่านด่านแรกกับการยื่นเอกสารสมัครงานแล้ว หากผู้ว่าจ้างอ่านข้อมูลแล้วสนใจเราล่ะก็ ขั้นตอนต่อมาคือการสัมภาษณ์งาน พูดคุยกันเพื่อให้รู้จักตัวตน และทัศนคติของเราให้มากยิ่งขึ้น รวมไปถึงแนวทางการตัดสินใจผ่านสถานการณ์สมมติต่างๆ หากได้เข้ามาทำงานจริง บางครั้งก็ให้เราแชร์เรื่องราวที่เคยประสบพบเจอมา การตอบสัมภาษณ์ที่ดีนั้น เราต้องชัดเจนว่า เราเคยผ่านบทบาทอะไรในเหตุการณ์ใด, ความสำเร็จหรือจุดแข็งของเรา,​ ผลลัพธ์ที่เคยเกิดขึ้น และสิ่งที่อยากจะพัฒนาหรือท้าทายตัวเอง เพื่อให้ผู้สัมภาษณ์มองเห็นตัวตนเราได้ชัดเจน และสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย คือการเป็นตัวของตัวเอง ดังนั้นเตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม นอนหลับพักผ่อน เพื่อความสดชื่นในวันสัมภาษณ์นั่นเอง




แท้จริงแล้ว การสมัครงานที่ออสเตรเลียนั้นค่อนข้างคล้ายคลึงกับประเทศอื่นๆ รวมไปถึงในประเทศไทย แต่สิ่งที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ คือมุมมองการรับคนเข้าทำงานของประเทศนี้ค่อนข้างเปิดกว้าง ในองค์กรใหญ่บางที่ เราสามารถพบเจอเพื่อนร่วมงานหลากหลายสัญชาติทำงานร่วมกัน เพราะความหลากหลายนี้เอง ทำให้วัฒนธรรมภายในองค์กรไม่น่าเบื่อ รวมถึงความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆเกิดขึ้นได้ดีอีกด้วย เป็นกำลังใจให้ทุกคนเจองานที่ถูกใจล่ะ

27



      หากพูดถึงเทศกาลและการเฉลิมฉลอง ภาพที่ผู้คนส่วนใหญ่มักจะนึกถึง คือการจัดตามวันสำคัญต่างๆ อาทิเช่น วันปีใหม่, วันคริสต์มาส, วันชาติออสเตรเลีย ฯลฯ แต่ถ้าขึ้นชื่อว่าประเทศออสเตรเลียแล้ว เทศกาลกับการสังสรรค์คงไม่ได้มีแค่ในวันสำคัญแน่นอน เพราะความสนุก (หรือความบ้าๆบอๆ) ของชาวออสซี่นั้นเกิดขึ้นได้ทุกวัน หรือแม้แต่การแข่งขันเองก็ตาม สามารถต่อยอดไปสู่เทศกาลใหญ่ในแต่เมืองเลยทีเดียว วันนี้เราจะมาแนะนำเทศกาลสุดแปลก ที่เชื่อว่าหลายคนคิดไม่ถึงเลยว่าจะมีอยู่จริงบนโลกเลยก็ว่าได้


เทศกาลแข่งเรือกระป๋องเบียร์ The Darwin Lions Beer Regatta




ที่มาภาพ : weekendnotes.com


ที่มาภาพ : beercanregatta.org.au

      จากวัฒนธรรมการดื่มเบียร์ของชาวออสซี่ (ที่อาจเรียกได้ว่าเป็นเครื่องดื่มประจำชาติเลยก็ว่าได้) เกิดเป็นการแข่งขันสนุกๆ ที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ประดิษฐ์ผลงานเรือพายออกมา โดยที่โครงสร้างของเรือต้องมี “กระป๋องเบียร์” เป็นส่วนประกอบ กับกิจกรรมการแข่งเรือประจำปี จัดขึ้นที่ Mindil Beach ในเมือง Darwin ทางตอนเหนือของประเทศในช่วงเดือนกรกฎาคม กฎกติกาในการแข่งขันก็ง่ายๆ เรือของผู้เข้าแข่งขันต้องลอยอยู่เหนือน้ำโดยมีสมาชิกทีมนั่งอยู่ภายในเรือครบทุกคน ห้ามมีใครตกน้ำและเรือห้ามจม นอกจากจะได้เห็นไอเดียการออกแบบที่ใช้หลักฟิสิกส์ (หรือหลักความสวยงาม) ของเรือกระป๋องเบียร์ในแต่ละทีมแล้ว บรรยากาศและเสียงเชียร์ของผู้เข้าชมก็สร้างสีสันไม่แพ้กัน


เทศกาลแข่งคว้างปลาทูน่า Tumarama Festival




ที่มาภาพ : portlincoln.com.au

      ใช่...คุณอ่านไม่ผิด นี่คือการแข่งขว้างปลาทูน่า ที่จัดขึ้นช่วงอาทิตย์ของการเฉลิมฉลองวันชาติ Australia ในเดือนมกราคม วัตถุประสงค์ของงานนี้ไม่ใช่เอาสนุกเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการให้ผู้คนในพื้นที่ ได้ตระหนักถึงถึงอุตสาหกรรมปลาทูน่าใน Port Lincoln ซึ่งเป็นทั้งสถานที่จัดกิจกรรม และเป็นเมืองแห่งอุตสาหกรรมปลาทูน่ากระป๋องที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลียนั่นเอง สิ่งที่น่าสนใจคือมีผู้เข้าแข่งขันที่สามารถขว้างทูน่าได้ไกลที่สุดถึง 30 กว่าเมตรเลยทีเดียว โดยปีหน้าจะจัดขึ้นในวันที่ 21-23 มกราคม 2022 ก่อนจะเตรียมตัวเข้าร่วม มาดูภาพบรรยากาศที่จัดขึ้นเมื่อปี 2016 ได้เลย




เทศกาลแข่งขันวิ่งขี่อูฐ Gold Lions Camel Cup Race



ที่มาภาพ : cloudfronteverfest.qcue.com

      มารู้จักกับอีกการแข่งขัน ที่ไม่ได้เป็นแค่การแข่งระหว่างมนุษย์ เพราะนี่คือการแข่งขันวิ่งอูฐ!? ใครจะไปคิดว่าอูฐ สัตว์ที่เดินเชื่องช้าในดินแดนทะเลทราย จะสามารถเป็นส่วนหนึ่งในการประลองความเร็วได้ จากจุดเริ่มต้นแค่กิจกรรมเล็กๆ เพื่อความสนุกสนานของชาวบ้านในปี 1970 จัดอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นการแข่งขันประจำปีที่จัดยาวนานมากว่า 40 ปี ทำให้การแข่งขันวิ่งอูฐในทุกวันนี้ กลายเป็นเทศกาลที่ผู้คนต่างพูดถึงทั้งในประเทศและระดับโลก งานนี้คงจะจัดที่อื่นใดไปไม่ได้ นอกจากใจกลางประเทศอันแสนแห้งแล้งร้อนระอุอย่างที่ Blatherskite Park ในเมือง Alice Spring แม้ว่าจะเทียบงานแข่งม้าวิ่งแบบ Melbourne Cup ไม่ได้ แต่ขอบอกเลยว่า คุณจะไม่มีโอกาสเห็นการแข่งแบบนี้ ที่ไหนมาก่อนแน่นอน ยกเว้นที่ออสเตรเลีย


เทศกาลวิ่งเรือเทียม !? Henley on Todd Regatta



ที่มาภาพ : redhotarts.com.au

      ขอแนะนำอีกหนึ่งเทศกาลที่จัดที่ Alice Spring อีกครั้ง สนุกเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือความแหวกแนว นั่นคือการแข่งเรือ..แต่ เดี๋ยวก่อนนะ ที่ Alice Spring อยู่ใจกลางประเทศ ไม่ได้ทิศไหนที่ติดแหล่งน้ำหรือทะเลนิ...แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของการแข่ง เพราะเรือที่ใช้ในงานนั้น ไม่ใช่เรือปกติทั่วไป แต่เป็นเรือที่สร้างขึ้นมาแบบไม่มีท้องเรือ กล่าวคือให้มนุษย์อย่างเราๆ ใช้แรงขาในการเคลื่อนที่แทนน่ะสิ! นี่คืองานประจำปีที่จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่ มีการแสดงและกิจกรรมต่างๆมากมายภายในงาน เป็นการใช้จุดแข็งของพื้นที่ นั่นคือความแห้งแล้งทางภูมิประเทศ นำเสนอออกมาได้อย่างน่าสนใจและแตกต่าง ดึงดูดนักท่องเที่ยวอยากเดินทางเข้ามาสัมผัสความสนุกภายในงานนี้ ภายในงานจะสนุกแค่ไหน ดูได้จากวิดิโอด้านล่าง




เทศกาลปาองุ่น Throwing Of The Grape Festival



ที่มาภาพ : http://xpressmag.com.au

      หลังจากเป็นผู้เข้าชมผ่านมา 4 เทศกาลข้างต้น ครั้งนี้มาต่อกันที่เทศกาลที่ขอบอกเลยว่าใครๆก็สามารถเข้าร่วมได้ ไม่ต้องใช้ทักษะเฉพาะทาง แต่เพียงใช้กำลังล้วนๆ กับการปาองุ่น โดยมีรูปแบบงานที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเทศกาลปามะเขือเทศ (La Tomotina Tomato Festival) ที่ประเทศสเปน แต่ที่ Swan Valley คือพื้นที่รายล้อมไปด้วยไร่องุ่นทางตอนเหนือใจกลางเมือง Perth นั้น เต็มไปด้วยองุ่นที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว จัดเตรียมไว้ให้แต่ละคนได้ปาใส่กันและกัน สร้างเสียงหัวเราะและความสนุกสนานกันไป




เทศกาลจัดแสดงงานศิลปะไหมพรมและดนตรีแจ๊ส Jumpers and Jazz Festival





ที่มาภาพ : jumpersandjazz.com.au, mustdobrisbane.com


      ใครว่างานฝีมือสุดน่ารักอย่างงานไหมพรมถัก กับดนตรีแจ๊สจะเข้ากันไม่ได้ แต่งานนี้ได้นำทั้งสองสิ่งเข้ามาไว้ด้วยกัน กับเทศกาลประจำเมือง Warwick ทางตอนใต้ของบริสเบนนั่นเอง ซึ่งภายในปีนี้ จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 15-25 กรกฏาคม นอกจากจะมีดนตรีแจ๊สให้ฟังภายในงานตามจุดต่างๆในเมืองแล้ว ริมสองข้างทางภายในเมืองเอง มีการตกแต่งพื้นที่โดยงานศิลปะด้วยไหมพรม ห่อหุ้มต้นไม้ริมทางเรียงสีสัน หรือจะถักหุ้มสิ่งของในแต่มุม ให้เราได้แวะถ่ายรูปสวยๆ อีกทั้งยังกิจกรรม Workshop ตามสถานที่ต่างๆในเมือง อย่างเช่นใน Art Gallery ประจำเมือง ในช่วงเย็นๆเอง ก็จะมีดนตรีแจ๊สเพราะๆ ให้เราฟังพร้อมกับชื่นชมงานศิลปะเจ๋งๆริมทาง อย่าลืมใส่เสื้อไหมพรมให้ร่างกายอบอุ่นจากลมหนาวด้วยนะ อีกหนึ่งไฮไลต์ที่คนรักรถเก่าต้องชื่นชอบ นั่นคือการจัดแสดงรถยนต์วินเทจบนถนนเส้นหลักในเมือง เตรียมกล้องถ่ายรูป โพสท่าคู่กับรถสวยๆได้เลย





ที่มาภาพ : jumpersandjazz.com.au

แม้ว่าสถานการณ์โรคระบาดในประเทศยังคงขึ้นๆลงๆ กระทบต่อการจัดกิจกรรมและเทศกาลต่างๆทั้งในและประเทศ แม้ว่าบางกิจกรรมจะสามารถกลับมาจัดเป็นปกติแล้ว แต่อย่างไรก็ดี อย่าลืมรักษาสุขภาพและรักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัด เพื่อที่จะได้ออกไปสนุกกับงานต่างๆได้อย่างปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายล่ะ

28


      เชื่อว่าหนึ่งเหตุผลหลักที่ทำให้คนจากทั่วโลก ตัดสินใจใช้ชีวิตในประเทศออสเตรเลียระยะยาว นั่นคือความมั่นคงและคุณภาพชีวิตที่ดีกว่า เมื่อเทียบกับประเทศบ้านเกิด และอย่างที่ทราบกันดีว่า การชาวต่างชาติจะสามารถพำนักอยู่ในประเทศนี้ได้ยาวนั้น จำเป็นต้องมีวีซ่าเฉพาะทาง (หากตัดวีซ่าท่องเที่ยวไป​) หากพูดประเภทวีซ่าคร่าวๆ ก็มีตั้งแต่ วีซ่านักเรียน, วีซ่าทำงาน และวีซ่าแต่งงาน ซึ่งผู้คนส่วนใหญ่ต่างเริ่มต้นด้วยวีซ่าประเภทเหล่านี้กัน โดยเฉพาะผู้ที่เริ่มจากศูนย์ ไม่มีทักษะหรือ Connection เฉพาะบุคคล การเริ่มต้นด้วยการศึกษาต่อในประเทศออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจที่จะต่อยอดอนาคตที่ออสเตรเลีย เพราะนอกเหนือจะได้เรียนรู้ทักษะความรู้ ท่ามกลางบรรยากาศบ้านเมืองที่ดีแล้ว ยังสามารถทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายนั่นเอง



ที่มาภาพ : noborders-group.com

      นอกจากการถือวีซ่านักเรียนแล้ว ยังมีวีซ่าอีกประเภทที่น่าสนใจ นั่นคือ Work and Holiday Visa (WAH) เป็นวีซ่าเพื่อการเริ่มต้นการทำงานและท่องเที่ยวในออสเตรเลียหรือนิวซีแลนด์โดยเฉพาะ แบบไม่มีเงื่อนไขผูกมัดเป็นระยะเวลา 1 ปี ซึ่งเปิดโอกาสสำหรับชาวไทยที่มีอายุ 18-30 ปี สามารถลงทะเบียนถือวีซ่าประเภทนี้ได้ ผ่านกรมกิจการเด็กและเยาวชน (ดย.) โดยจะเปิดรับสมัครเพียงปีละครั้ง และมีจำนวนจำกัดอีกด้วย สามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมต่อได้ที่ www.dcy.go.th

แม้ว่าวีซ่านักเรียนและวีซ่า WAH จะสามารถอยู่ในออสเตรเลียได้ยาวก็จริง แต่ก็มีระยะเวลาจำกัดเหมือนกัน จะดีกว่ามั้ย ถ้าเราได้เรียนและทำงานในสายอาชีพที่กำลังเป็นที่ต้องการในประเทศออสเตรเลีย เพราะนอกจากจะง่ายต่อการถูกว่าจ้างแล้ว การสร้างรายได้ที่เพิ่มพูนและโอกาสที่สามารถต่อยอด ย่อมได้มากกว่า นั่นคือการขอต่อวีซ่า PR หรือชื่อเต็มว่า Permanent Resident Visa ที่เราจะมาเล่ากันในวันนี้ แต่การที่จะได้มาของวีซ่านั้น ไม่ใช่ว่าทำงานตรงสายแล้วได้เลย แต่ต้องได้รับการ Sponsor จากนายจ้างเสียก่อน แล้วจึงจะสามารถยื่นเรื่องเพื่อขอวีซ่า PR โดยต้องมีสอบและนับคะแนนตามเกณฑ์ต่างๆที่รัฐบาลต้องการ ซึ่งเราจะมาขยายต่อทีหลังในโอกาสต่อไป หากเราได้มีโอกาสได้ถือวีซ่าประเภทนี้แล้ว นอกจากจะสามารถพักอาศัยได้ในประเทศระยะยาวเลย เรายังได้รับสิทธิต่างๆ เพิ่มมากขึ้น เช่น การได้รับประกันสุขภาพ (Medicare), การซื้ออสังหาริมทรัพย์, สามารถกู้ยืมเพื่อการศึกษา, สวัสดิการในการใช้ชีวิต ซึ่งจะนำไปยังเป้าหมายสุดท้าย นั่นคือการยื่นเรื่องขอเป็นประชากร หรือ Citizenship นั่นเอง



ที่มาภาพ : unsplash.com/@jcrod
 
      เรามาเริ่มต้นดูกันว่าสายอาชีพไหนที่กำลังเป็นที่ต้องการในประเทศ โดยยึดตาม Medium and Long Term Strategic Skills List (MLTSSL) คือลิสอาชีพทักษะ ที่กำลังเป็นที่ขาดแคลนระยะกลาง และระยะยาว ซึ่งเป็นอาชีพที่มีความต้องการสูงทุกปี ซึ่งมีรายชื่ออาชีพทั้งหมดหลักร้อยกว่าสายงาน แต่สำหรับบทความนี้ เราจะมาจัดอันดับ กลุ่มสายงานที่มีความต้องการมากที่สุดในประเทศออสเตรเลีย อัพเดทปี 2021 แบ่งได้ดังต่อไปนี้




      จากผลกระทบโรคระบาดที่เริ่มต้นเมื่อช่วงปีก่อน บอกได้เลยว่ากลุ่มสายงานนี้กำลังเป็นที่ต้องการอย่างยิ่ง แม้ว่าสถานการณ์ในประเทศเองจะดีขึ้นแล้ว แต่ก็ยังมีความไม่แน่นอนอยู่เหมือนกัน แม้ว่างานจะเหนื่อย จะหนัก แต่ขอบอกเลยว่าในอนาตต รุ่งแน่นอน!

กลุ่มอาชีพนั้น ก็คือ
  • ผู้ทำงานในวงการสุขภาพ, การแพทย์ อันได้แก่ แพทย์ทั่วไป, กุมารแพทย์ (Paediatrician), พยาบาลวิชาชีพ, นางพยาบาลทำคลอด (Midwife)
หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง อย่างเช่น
  • แพทย์ฝังเข็ม, แพทย์เกี่ยวข้องกับหัวใจ (Cardiologist), นักตรวจการได้ยิน (Audiologist), วิศวกรรมชีวการแพทย์ (Biomedical Engineer), นักเทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnologist), นักจัดกระดูก (Chiropractor), นักโลหิตวิทยา (Clinical Haematologist), นักจิตวิทยา (Clinical Psychologist), แพทย์ผิวหนัง (Dermatologist), ผู้วินิจฉัยเกี่ยวกับรังสีวิทยา (Diagnostic and Interventional Radiologist), เจ้าหน้าที่แผนกอายุกรรมฉุกเฉิน (Emergency Medicine Specialist), นักวิทยาต่อมไร้ท่อ (Endocrinologist), ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้องอก (Medical Oncologist) ฯลฯ



      นับเป็นสายอาชีพที่ขาดไม่ได้และเป็นที่ต้องการในทุกพื้นที่ เพราะการก่อสร้าง เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นบ้านเรือน หรือตัวเมืองเองก็ตาม สายงานที่เกี่ยวข้อง แบ่งได้เป็นประเภทต่างๆดังต่อไปนี้

  • ประเภทงานซ่อมแซมระบบ อาทิ ช่างประปา, ช่างซ่อมท่อระบายน้ำ, ช่างทำกุญเจ (Locksmith)
  • ประเภทงานซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และวงจร อาทิ ช่างรถยนต์,​ ช่างไฟ, ช่างซ่อมแอร์, ช่างติดตั้งแก๊ส, ช่างลิฟท์ (Lift Mechanic), ช่างฟิตและช่างเครื่องกล (Fitter and Turner) ฯลฯ
  • ประเภทงานก่อสร้างและโครงการขนาดใหญ่ อาทิ ช่างก่ออิฐ (Bricklayer), ช่างไม้, ช่างหิน, ช่างปูนก่อฉาบ, ช่างกระจก, วิศวกรโยธา, ผู้จัดการโครงการระบบ (Construction Project Manager), เจ้าหน้าที่ซื้อขายอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Instrument Trades Worker), วิศวอุตสาหการ (Industrial Engineer), ผู้ผลิตเหล็ก (Metal Fabricator), นักวิศวกรเหมืองแร่ (Mining Engineer), วิศวกรปิโตรเลียม (Petroleum Engineer), วิศวกรด้านโทรคมนาคม (Telecommunications Engineer) ฯลฯ



      การเพาะปลูกในออสเตรเลีย เป็นอีกหนึ่งอุตสาหกรรมหลักของประเทศเลยก็ว่าได้ นอกจากจะมีผลผลิตเพื่อเลี้ยงประชากรภายในประเทศแล้ว ยังมีการส่งออกวัตถุดิบทางการเกษตรออกไปต่างประเทศด้วยเช่นกัน ทั้งผัก ผลไม้ รวมไปถึงเนื้อสัตว์เกรดพรีเมี่ยม

สายอาชีพที่อยู่กลุ่มนี้ อันได้แก่
  • ผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร (Agricultural Consultant), วิศวกรการเกษตร (Agricultural Engineer), นักวิทยาศาสตร์การเกษตร (Agricultural Scientist), นักพฤษศาสตร์ (​Botanist), รวมไปถึงนักพัฒนาสิ่งแวดล้อม ทั้งในด้าน นักปรึกษาสิ่งแวดล้อม (Environmental Consultant), นักวิทยาศาสตร์วิ่งแวดล้อม (Environmental Scientists), พนักงานป่าไม้, นักชีววิทยาทางทะเล (Marine Biologist) ฯลฯ



      ปฎิเสธไม่ได้เลยว่าเรื่องของเทคโนโลยีและนวัตกรรม คืออนาคตที่น่าจับตามองอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวงการยานยนต์ ตัวอย่างเทคโนโลยีที่กำลังเป็นที่พูดถึงนั่นคือ รถยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตของผู้คนทั่วโลกเลยก็ว่าได้ ทำให้สายอาชีพที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างเป็นที่ต้องการ

สายอาชีพที่อยู่ในกลุ่มนี้ อันได้แก่
  • วิศวกรออกแบบเครื่องบิน, ช่างระบบไฟยานยนต์ (Automotive Electrician), นักประกอบและซ่อมแซมเรือ (Boat Builder and Repairer), นักวิศวกรรมเครื่องกล (Diesel Motor Mechanic) ฯลฯ




      ต่อยอดมาจากสายยานยนต์ นั่นคือสายนักพัฒนาด้านดิจิตอล เรียกว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังระบบต่างๆที่เราได้ใช้งานรอบตัว อย่างบน Smart Phone ของเรา รวมไปถึงสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆในอนาคตเอง ก็ต้องการกลุ่มทักษะด้านนี้เหมือนกัน นับว่ามาแรงเลยทีเดียว

กลุ่มอาชีพนี้ ก็มีตั้งแต่
  • นักวิเคราะห์โปรแกรม (Analyst Programmer), นักวิศวกรรมคอมพิวเตอร์และระบบ (Computer Network and Systems Engineer), นักพัฒนาและวิศวกรซอฟต์แวร์ (Developer Programmer/ Software Engineer), นักวิเคราะห์ธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT Business Analyst) ฯลฯ



      ละเอียดลงมา สำหรับสายงานที่เกี่ยวกับเด็กเล็ก ทั้งด้านการดูแลและให้การศึกษา กลุ่มอาชีพที่เกี่ยวข้องกับเด็กอ่อน มีตั้งแต่
  • ผู้จัดการสถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน,​ คุณครูสอนเด็กเล็ก (Pre-primary School)
ส่วนในสายการศึกษา
  • นักจิตวิทยาด้านการศึกษา (Educational Psychologist), คุณครูพิเศษ (Special Education Teachers nec), ครูสอนผู้บกพร่องในด้านต่างๆ เช่น การได้ยิน, การมองเห็น, อาจารย์มหาวิทยาลัย
 ฯลฯ




      เป็นกลุ่มอาชีพยอดนิยมมาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะเมืองใหญ่ที่รายล้อมไปด้วยอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและการบริการ อย่างโรงแรม ร้านค้า ร้านอาหาร แต่เนื่องจากผลกระทบของโรคระบาด และจำนวนแรงงานจบใหม่ในสายงานนี้เกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทำให้ความต้องการแรงงานอาชีพนี้ค่อนข้างลดลง แต่ก็ยังพอมีอาชีพที่สามารถยื่นขอวีซ่า PR ได้ ตั้งแต่
  • เชฟ, ผู้จัดการโรงแรม เป็นต้น



      ใครว่าการขอวีซ่า PR จำกัดเฉพาะคนทำงานสายวิชาชีพหรือแรงงานเท่านั้น เพราะช่วงนี้คือโอกาสของผู้ที่ทำงานในวงการบันเทิงหรือวงการออกแบบ แม้ว่าวงการออกแบบหรือวงการบันเทิงในออสเตรเลีย จะไม่ได้สร้างผลงานที่มีชื่อเสียงระดับโลกเหมือนฝั่งอเมริกา แต่ก็ถือว่ากำลังมาแรงอยู่เหมือนกัน

กลุ่มอาชีพที่กำลังเป็นที่ต้องการ อันได้แก่
  • สถาปนิก, ผู้กำกับงานศิลป์, นักแสดง, นักดนตรี, นักเต้น/ นักออกแบบท่าเต้น หรือผู้ที่ประกอบอาชีพสายงานบันเทิง, ผู้จัดการธุรกิจโฆษณา (Advertising Manager), ผู้ชำนาญการสื่อโฆษณา (Advertising Specialist), ช่างเขียนแผนที่ (Cartographer), นักเก็บรักษางานศิลปะ (Conservator), ช่างตัดเสื้อ, นักกำกับเพลง (Music Director) ฯลฯ



      นอกเหนือจากกลุ่มอาชีพข้างต้นแล้ว ก็ยังมีสายอาชีพเฉพาะทางอื่นๆที่น่าจับตามอง (หรือบางอาชีพไม่เคยได้ยินมาก่อน) และสามารถยื่นขอ PR ได้เช่นกัน อย่าง
  • นักบัญชี, ผู้สอบบัญชี, นักเศรษฐศาสตร์,​นักสถิติ, ทนายความ, นักชีวเคมี (Biochemist), นักเคมี (Chemist), นักฟุตบอล, โค้ชสอนเทนนิส, ที่ปรึกษาด้านการจัดการ, นักสังคมสงเคราะห์, นักสัตววิทยา (Zoologist), สัตวแพทย์ ฯลฯ

อย่างไรก็ดี สามารถอ่านรายชื่ออาชีพที่เข้าข่ายทั้งหมด ได้ที่ลิงก์นี้เลย https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/working-in-australia/skill-occupation-list

      หันกลับมาทบทวนตัวเองอีกที ว่าทักษะและวุฒิการศึกษาที่เรามี กำลังเป็นที่ต้องการของประเทศหรือไม่ หากไม่ การสมัครศึกษาต่อในออสเตรเลีย ย่อมเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีและมั่นคง ซึ่งหลักสูตรที่ศึกษาต่อมีหลากหลายประเภท หลากหลายราคา ตั้งแต่หลักหมื่นบาทจนถึงหลักล้าน สามารถเริ่มต้นได้ตั้งแต่ Vocational Education and Training (VET) หรือที่หลายคนเรียกสั้นๆว่า เรียน Diploma จบง่าย จบเร็ว ราคาถูกกว่า เมื่อเทียบกับหลักสูตรมหาวิทยาลัย ทั้ง Undergraduate หรือต่อไปในระดับ Post Graduate


มาตั้งเป้าหมายอนาคตให้ชัดเจน และมุ่งมั่นทำให้สำเร็จล่ะ


อ้างถึง
ข้อมูลอ้างอิง

https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/working-in-australia/skill-occupation-list

https://thebestedu.blog/2021/02/03/study-trade-courses-to-pr-in-australia/

https://www.noborders-group.com/news/top-8-benefits-of-australian-permanent-residency-

29



มาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง แน่นอนว่าหากเกิดเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง จะเรียกขอความช่วยเหลือเหมือนที่ประเทศไทยคงไม่ได้ วันนี้มาจะมาแนะนำช่องทางการติดต่อ เมื่อเหตุการณ์คับขัน เช่น อุบัติเหตุ ไฟไหม้ ขโมย ฯลฯ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา เมมเบอร์โทรศัพท์ตามนี้ได้เลย


หาก...เกิดเหตุฉุกเฉิน ต้องการความช่วยเหลือด่วน
โทรติดต่อ...000



ที่มาภาพ : www2.health.vic.gov.au

      จำไว้ให้แม่น 000 ศูนย์สามตัว ไม่ว่าจะเกิดอุบัติเหตุ ลื่นล้ม หรือมีผู้บาดเจ็บ ต้องการรถพยาบาล แม้แต่เกิดเหตุ​โจรกรรม มีคนบุกรุก ไฟไหม้ป่า ฯลฯ เมื่อต่อสายได้เรียบร้อย ปลายสายอาจต้องการตำแหน่งที่ตั้ง และรหัสไปรษณีย์ของพื้นที่ที่เกิดเหตุ เพื่อประสานงานต่อกับทีมงานในพื้นที่ได้ง่ายขึ้น และแน่นอนอย่าวางสาย จนกว่าจะมีหน่วยงานเข้ามา หรือได้รับการยืนยันจากปลายสาย


หาก...ต้องการเรียกตำรวจ
โทรติดต่อ...131 444



ที่มาภาพ : www.police.qld.gov.au

      เมื่อต้องการความช่วยเหลือจากตำรวจ อย่างเช่น เพื่อนบ้านจัดกิจกรรมเสียงดังรบกวนการอยู่อาศัย, สุนัขเห่ารบกวน, มีผู้บุกรุกเคหะสถาน, เกิดเหตุอาชญากรรมหรือทะเลาะวิวาท, ทรัพย์สินสูญหายหรือถูกทำลาย สามารถโทรเรียกความช่วยเหลือได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมง หรือหากไม่ใช่เหตุฉุกเฉิน สามารถทำเรื่องร้องเรียน (Report) ได้ผ่านเว็บไซด์ https://www.police.qld.gov.au/reporting


หาก...พบเห็นสิ่งผิดกฎหมาย
โทรติดต่อ...1800 333 000



ที่มาภาพ : crimestoppers.com.au

      หากวันใดวันหนึ่ง ได้พบเห็นเหตุการณ์ที่ไม่ถูกต้องหรือไม่ปลอดภัย อย่างเช่น การโจรกรรม,​ การทำร้ายร่างกาย, ค้าขายยาเสพติก ฯลฯ เราทุกคนสามารถเป็นหูเป็นตาให้กับตำรวจได้ โดยติดต่อ Crime Stoppers เพียงโทรไปแจ้งสิ่งที่เราพบเห็น แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยส่วนตัว เพราะทางหน่วยงานจะไม่เก็บข้อมูลส่วนตัวของเราอย่างแน่นอน มาร่วมกันเป็นพลเมืองดีกันเถอะ


หาก...ประสบภัยภิบัติทางธรรมชาติ (พายุ, น้ำท่วม)
โทรติดต่อ...131 500





ที่มาภาพ : ses.qld.gov.au

      เมื่อเราอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่อภัยภิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะที่บ้านหรือในระหว่างการท่องเที่ยว การเดินทาง หากเจอเหตุการณ์อันตรายเช่นนี้ รีบติดต่อ State Emergency Service ทันที ทางหน่วยงานจะส่งทีมเข้ามาช่วยเหลือเราออกจากพื้นที่โดยเร็วที่สุด แต่หากมีผู้บาดเจ็บขึ้นมาล่ะก็ โทรไปที่เบอร์​ 000 ก่อนได้เลยนะ


หาก...ต้องการคำปรึกษาด้านสุขภาพ
โทรติดต่อ...1800 022 222



      เมื่อมีความกังวลเกี่ยวกับสุขภาพ (แบบไม่ใช่เหตุฉุกเฉิน) แต่ไม่ถึงกับต้องไปโรงพยาบาล สามารถติดต่อไปยัง Healthdirect Australia ปลายสายจะมีบุคลากรทางการแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ คอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพที่ปลายสาย ตลอด 24 ชั่วโมง สะดวก ลดข้อกังวลไปได้


หาก...เกิดความเครียด ซึมเศร้า หาทางออกไม่ได้
โทรติดต่อ... 1300 22 4636 หรือ 13 11 14




ที่มาภาพ : principals.com.au

ที่มาภาพ : doingitfordisey.com.au

      Beyond Blue และ Lifeline คือหน่วยงานที่ให้คำปรึกษาสำหรับบุคคลที่มีความเครียด วิตกกังวล หรือมีปัญหาคับข้องใจ หาทางแก้ไขไม่ได้ (นึกภาพง่ายๆ คือกรมสุขภาพจิต ในประเทศไทยนั่นเอง) ที่สำคัญเค้าให้คำปรึกษาฟรี หากต้องการอ่านข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปดูได้ที่เว็บไซด์ lifeline.org.au และ beyondblue.org.au ซึ่งมีทั้งบทความให้เรียนรู้และ Podcast ให้ฟังอีกด้วยนะ เผื่อจะช่วยให้เราบรรเทาจิตใจได้ไม่มากก็น้อย


หาก...ต้องการความช่วยเหลือด้านการศึกษา
โทรติดต่อ...07 3020 6101




ที่มาภาพ : ielts.com.au

IDP Brisbane ผู้เชี่ยวชาญทางการศึกษา ที่สามารถให้คำแนะนำในการศึกษาต่อประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็น มองหาสถาบันการเรียนใหม่, ค้นหาทุนการศึกษา, เริ่มต้นการสอบ IELTS รวมไปถึงข้อแนะนำเรื่องการต่อวีซ่านักเรียน อย่าลังเลที่จะหยิบหูโทรศัพท์เพื่อสอบถาม หรืออาจจะเข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซด์ได้ก่อนที่ www.idp.com/australia





ที่มาภาพ : triplezero.gov.au

สุดท้ายนี้ หากเกิดเหตุการณ์คับขันขึ้นจริงๆ แม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ที่เราไม่คุ้นเคย ไม่ทราบตำแหน่งชัดเจน บางครั้งสติอาจจะไม่อยู่กับเนื้อกับตัว อย่างน้อยอยากให้โหลด Application ติดเครื่องไว้ ชื่อว่า Emergency Plus ในแอพเราสามารถต่อสายตรงเบอร์ฉุกเฉินได้เลย อีกทั้งสามารถระบุตำแหน่ง GPS ของเราได้แม่นยำ เข้าถึงเราได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น อย่าลืมทั้งเมมเบอร์ ทั้งดาวน์โหลดแอพฯไว้ด้วยนะ

หน้า: 1 [2] 3