แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - พา-ลา-เล่น

หน้า: [1] 2 3
1



ชาวออสซี่นั้นเติบโตมากับทะเล คำนี้อาจไม่เกินจริง เพราะพวกเขาใช้เวลาอยู่บริเวณชายหาดและทะเลแทบจะทุกฤดูกาล ไม่ว่าจะมาเดินเล่น ออกกำลังกาย พาเด็กๆและครอบครัวมาพักผ่อน หรือจะไปว่ายน้ำตื้น ดำน้ำลึก หรือจะโต้คลื่น ประกอบกับช่วงต้นปีในประเทศออสเตรเลียคือฤดูกาลการท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการท่องเที่ยวทะเล ชายหาด หรือถึงเกาะต่างๆที่มีเป็นจำนวนมาก เพราะในออสเตรเลียมีชายหาดมากกว่า 10,000 แห่ง ยิ่งช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม เป็นช่วงที่อากาศไม่ร้อนมากจนเกินไป สามารถไปสัมผัสประสบการณ์อันน่าทึ่งได้ในทุกมุมของประเทศ



Photo by Pexels from Pixabay


สิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ นั่นคืออันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเกิดจากสภาพแวดล้อมรวมถึงสัตว์อันตราย บทความนี้เราจะมาเตือนภัยให้ตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจจะพบเจอ ในการเที่ยวทะเลในออสเตรเลีย เพื่อให้ทริปของคุณปลอดภัยและได้เพลิดเพลินกับวันหยุดได้อย่างเต็มที่


สิ่งควรพึงสังเกตก่อนลงเล่นทะเล



Photo by Federico Giampieri on Unsplash


      แม้ว่าการเที่ยวชายหาดจะดูปลอดภัยกว่าลงไปใต้ทะเลลึก หารู้ไม่ว่ามีอันตรายที่ซ่อนตัวอยู่โดยที่เราไม่รู้ตัว เริ่มต้นจาก แสงแดด สิ่งที่ใครหลายคนอาจมองข้าม หากเราอยู่ใต้แสงแดดระยะเวลานาน นอกจากผิวเราจะคล้ำลงแล้วอาจจะเกิดภาวะผิวไหม้ แสบร้อน หรือหากสะสมเป็นเวลานาน มีความเสี่ยงที่เกิดมะเร็งผิวหนังเช่นกัน

สิ่งที่ขาดมือไม่ได้เลยเวลาออกไปกลางแจ้ง นั่นคือ ครีมกันแดด ควรเลือกครีมกันแดดที่เหมาะกับสภาพผิวของเรา แนะนำ SPF 30 เป็นต้นไป ถึงแม้ในวันจะมีเมฆปกคลุมก็ตาม แต่รังสี UV นั้นไม่เคยปราณีผิว เมื่อปกป้องผิวจากแสงแดดแล้ว อย่าลืมเติมความชุ่มชื่นให้กับร่างกายด้วยการดื่มน้ำบ่อยๆ  เพื่อลดโอกาศการเกิด Heatstroke (โรคลมร้อน) อย่างไรก็ดี ควรสังเกตร่างกายตัวเอง หากมีภาวะหน้ามืดหรือรู้สึกไม่สบายตัว รีบเข้าหาที่ร่มและจิบดื่มน้ำบ่อยๆ เพื่อลดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ



Photo by Oliver Sjöström on Unsplash


   เมื่อใจพร้อมจะลงทะเลแล้ว เพื่อความปลอดภัยควรจะมีเพื่อนลงไปทะเลด้วยกัน เพราะหากเกิดเหตุอันตราย อย่างน้อยยังมีคนที่สามารถช่วยเหลือได้ ไม่แนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มมึนเมาหรือท้องอิ่มก่อนลงทะเล เพราะนอกจากร่างกายอาจจะไม่มีแรงในการพยุงตัวเองออกมาจากน้ำได้ อาจจะเกิดภาวะขาดสติ ความสามารถในการช่วยเหลือตัวเองลดลง อีกทั้งควรมองหาป้ายข้อมูลตรงทางเข้าชายหาด (ป้ายที่หลายคนอาจมองข้าม แม้แต่คนพื้นที่เอง) ซึ่งที่บนอธิบายให้คุณทราบถึงสิ่งที่ควรหรือไม่ควรทำบริเวณชายหาด



Photo by lifeguards.com.au


ก่อนจะลงทะเลหาดไหน โปรดลงเล่นในพื้นที่ที่ปักธงสีแดง-เหลือง เพราะเป็นพื้นที่ที่ปลอดภัย เหมาะกับการเล่นน้ำแล้ว ยังเป็นพื้นที่ที่มี Lifeguard หรือเจ้าหน้าที่คอยช่วยเหลือบริเวณริมชายหาด  นอกจากเราจะสามารถขอความช่วยเหลือได้ หากเจ้าหน้าที่เจอสัตว์อันตราย หรือสภาพคลื่นที่ไม่ปลอดภัย พวกเขาจะประกาศกับผู้คนที่อยู่ในบริเวณ และยังมีธงประเภทอื่น ที่ตั้งไว้เพื่อแจ้งถึงสถานะให้ทราบเช่น การปักธงแดงทั้งผืน หมายความว่านี่ไม่ใช่พื้นที่ว่ายน้ำ, หากปักธงตารางแดง-ขาว หมายถึง ให้ขึ้นจากน้ำโดยเร็ว, ธงตารางขาว-ดำ คือพื้นที่สำหรับเล่น Surf คนเล่นน้ำทะเลต้องระมัดระวัง เป็นต้น



Photo by beachsafe.org.au


      ใครที่คุ้นเคยกับการเที่ยวทะเลในประเทศไทยเป็นอย่างดี อย่าริเปรียบเทียบคลื่นทะเลของออสเตรเลีย เพราะคลื่นที่นี่นั้นรุนแรงกระแทกตัวทำเอามึนได้ แต่ก็เป็นสวรรค์ของนักโต้คลื่นโดยเฉพาะ หากเป็นคนว่ายน้ำไม่แข็งแรง โปรดเล่นทะเลในออสเตรเลียย่างระมัดระวัง หากกำลังอยู่ในทะเลและเกิดเป็นตะคริวขึ้นมา อันดับแรกขอให้ใจเย็นๆ อย่าตระหนก ลองขยับแขนขาอื่นๆ ต่อไป เพื่อให้ลอยอยู่ในน้ำได้ หากอยู่ใกล้น้ำตื้นให้ลองยืนขึ้นและยืดตัว หากไม่ไหว ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นเพื่อขอความช่วยเหลือ เมื่อคุณกลับถึงฝั่งอย่างปลอดภัยแล้ว อย่าลืมดื่มน้ำเยอะๆทันที


เตรียมพร้อมสำหรับการดำน้ำลึกใต้ท้องทะเล



Photo by  Sebastian Pena Lambarri on Unsplash


      ในควีนส์แลนด์ บริเวณ Great Barrier Reefคือสวรรค์ของนักดำน้ำลึกที่ใต้ทะเลคือโลกอีกใบของอาณาจักรสิ่งมีชีวิต หากคุณเป็นมือใหม่หัดดำน้ำ แน่นอนว่าคงไม่สามารถลงไปได้ง่ายๆ นอกจากต้องมีอุปกรณ์ที่พร้อมและปลอดภัยแล้ว ยังจำเป็นต้องเรียนหรือสอบ เพื่อผ่านเกณฑ์ทักษะก่อนการลงใต้น้ำจริง และปฏิบัติตามคำแนะนำด้านความปลอดภัยในการดำน้ำลึก เพื่อประสบการณ์ใต้น้ำที่ปลอดภัยและสนุกสนานในแหล่งดำน้ำที่น่าตื่นตาตื่นใจ

ก่อนที่คุณจะดำน้ำ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าคุณมีใบรับรองการดำน้ำที่ถูกต้องจากองค์กรที่ได้รับการยอมรับ เช่น PADI หรือ SSI ในออสเตรเลีย ตอบแบบสอบถามทางการแพทย์หรือปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณแข็งแรงพอที่จะดำน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณมีอาการป่วยอยู่ก่อน
ต่อมา เลือกผู้สอนดำน้ำที่มีประวัติความปลอดภัยที่ดีและมีประสบการณ์ซึ่งคุ้นเคยกับแหล่งดำน้ำในท้องถิ่น เพราะเขาสามารถวางแผนการดำน้ำของคุณกับเพื่อนของคุณและผู้นำการดำน้ำล่วงหน้า ซึ่งควรรวมถึงความลึก เวลา ขีดจำกัดการใช้อากาศที่เหมาะสม
ที่สำคัญ อย่าลืมตรวจสอบสภาพอากาศ กระแสน้ำและทัศนวิสัยก่อนออกเดินทาง อย่าลังเลที่จะยกเลิกการดำน้ำหากสถานการณ์ดูไม่ปลอดภัย



Photo by Paxton Tomko on Unsplash


ในวันออกไดร์ฟ โปรดพักผ่อนให้เพียงพอและดื่มน้ำเพียงพอ เพราะหากเกิดอาการเหนื่อยล้า หรือขาดน้ำ อาจส่งผลต่อการตัดสินใจของคุณและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เมื่อร่างกายพร้อม ถึงเวลาตรวจสอบอุปกรณ์ดำน้ำทั้งหมดของคุณอีกครั้งและให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทำงานได้อย่างถูกต้อง
ตลอดเวลาที่อยู่ใต้น้ำ อยู่ใกล้กับบัดดี้เสมอ สื่อสารเป็นประจำโดยใช้สัญญาณมือหรือคอมพิวเตอร์ดำน้ำ และอย่าลืมที่จะเคารพชีวิตใต้ท้องทะเล รักษาระยะห่างจากสิ่งมีชีวิตใต้ท้องทะเล และหลีกเลี่ยงการสัมผัสแนวปะการัง


สัตว์ร้าย อันตรายใต้ทะเล



      อันตรายที่นอกเหนือจากสภาพแวดล้อม นั่นคือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ใต้ท้องทะเล ที่หลายคนอาจมองข้าม ยกตัวอย่างเช่น แมงกะพรุนกล่อง (Box Jellyfish) ที่พบเจอได้บริเวณชายฝั่ง หากถูกแมงกะพรุนต่อย ให้ใจเย็นๆ คุณจะรู้สึกแสบทันที การต่อยอาจใช้เวลานานถึง 30 นาที ขึ้นอยู่กับการทนความเจ็บปวดแต่ละคน อย่าลืมแจ้งเตือน Lifeguard ใกล้ตัวของคุณ เพื่อแจ้งให้นักว่ายน้ำคนอื่นๆ ทราบและรับความช่วยเหลือ หากต้องการกำจัดเหล็กใน (หรือหนวดของแมงกะพรุน) ให้ใช้ปลายนิ้วส่วนที่เป็นผิวหนังแข็งขูดออกจากผิวหนัง ไปที่ห้องอาบน้ำฝักบัวที่ใกล้ที่สุดแล้วเทน้ำอุ่นลงบนเหล็กไน ระวังอย่าสัมผัสใบหน้าหรือผิวหนัง เพราะเหล็กไนอาจติดอยู่บนนิ้วของได้



Photo by abc.net.au


หนึ่งในเพชฌฆาตใต้ท้องทะเล หมึกสายวงน้ำเงิน หรือเรียกกันสั้นๆว่า หมึกบลูริง (Blue-ringed Octopus) เรียกได้ว่า เป็น มีพิษรุนแรงกว่างูเห่า ชอบซ่อนตัวอยู่ตามซอกหินใต้พื้นทราย หรือบางครั้งก็ถูกเกยตื้นขึ้นหาด ด้วยปากของมันที่มีพิษรุนแรงถึงอัมพาต ผู้ถูกกัดอาจเสียชีวิตได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง วิธีสังเกตตัวหมึกคือมีวงสีฟ้ากระจายรอบตัว สุดท้ายคือ ปลากระเบน ความอันตรายของมันอยู่ที่หาง หากพบเจอ สัตว์ทั้งสามประเภทนี้ โปรดว่ายออกห่างให้เร็วที่สุดและแจ้ง Lifeguard ให้ทราบ เพื่อแจ้งนักว่ายน้ำในบริเวณ

หากมีโอกาสไปว่ายในน้ำจืดหรือบึง โปรดระมัดระวังจระเข้ สัตว์อีกหนึ่งชนิดที่มีความอันตรายและดุร้าย มักพบเจอทางตอนเหนือของควีนส์แลนด์ มองหาป้ายความปลอดภัย และห้ามว่ายน้ำในแม่น้ำ ปากแม่น้ำ ชายฝั่งป่าชายเลน หรือแอ่งน้ำลึก เพราะมีความเสี่ยง เพื่อความปลอดภัย หากต้องล่องเรือบนแม่น้ำ ลำธาร อย่าลืมที่จะใส่เสื้อชูชีพ



Photo by Gerald Schömbs on Unsplash


อีกภาพอันน่ากลัวของการว่ายน้ำทะเลที่มักเจอในภาพยนตร์ นั่นคือฉากการหนีฉลามที่เข้ามาจู่โจม ในความเป็นจริงที่ออสเตรเลียการโจมตีของฉลามนั้นเกิดขึ้นได้ยากมากสุดๆ และชายหาดหลายแห่งก็มีตาข่ายดักฉลามไว้ป้องกันฉลามไว้อยู่ดี อย่างไรก็ตาม ควรหลีกเลี่ยงการว่ายน้ำในเวลาพลบค่ำ ในปากแม่น้ำ และนอกชายฝั่งอันไกลโพ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น


ออสเตรเลียมีจุดว่ายน้ำและพื้นที่ให้โต้คลื่นได้น่าทึ่งแห่งหนึ่งในโลก นอกจากความสวยงามแล้ว ความปลอดภัยเอง เป็นอีกปัจจัยสำคัญที่ทำให้ออสเตรเลียเป็นอีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของผู้คนที่หลงไหลท้องทะเล อยากแวะเวียนมาสัมผัสเและเพลิดเพลินกับชายหาดที่สวยงามอย่างไร้ความกังวล

อ้างถึง
insiderguides.com.au

australia.com

beachsafe.org.au

2



เข้าสู่เดือนกุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรัก หากมีเวลาว่างกับคนรักของคุณแค่ 24 ชั่วโมงหรือ 1 วันถ้วนในบริสเบน จะพาไปเดทไหนดี? วันนี้มาจะมาแนะนำ 4 ไอเดีย เส้นทางออกเดทในหลายๆสถานที่ ตั้งแต่เดินง่ายๆในเมือง จนไปถึงคู่สายลุยผจญภัยนอกเมือง ตามสไตล์ความชอบ หรือใครที่ไม่มีคู่ก็ไม่ต้องน้อยใจไป สามารถแชร์เส้นทางนี้ ไปช่วนเพื่อนๆ ไปค้นพบสถานที่และกิจกรรมใหม่ๆด้วยกันเป็นกลุ่ม ก็ได้เช่นกัน



เดทแบบชิลๆในตัวเมือง
หากคุณมีเวลาแค่หนึ่งวันเติม เฉพาะแค่ในเมืองบริสเบน มีอะไรให้เลือกทำมากมาย แบบที่ไม่ต้องเดินทางไกล


Photo by StockSnap from Pixabay


ช่วงเช้า : เริ่มต้นวันด้วยมื้อเช้าและกาแฟแสนอร่อย ที่ Felix For Goodness ร้านคาเฟ่สุดชิคในตัวเมือง ที่ชาวบริสเบนต่างไปใช้เวลาช่วงเช้ากัน ทานมื้อเช้าเสร็จแล้ว เดินไปชมความสวยงามต่อที่ City Botanic Gardens สวนสาธารณะขนาดใหญ่ใจกลางเมือง ที่มีจุดปิกนิกและพืชพันธุ์มากมาย ให้ชื่นชมและนั่งพักผ่อนตามจุดต่างๆ

ช่วงบ่าย : แดดเริ่มแรง ต้องหาที่อาคารไปตากแอร์คลายร้อนกันที่ Queensland Art Gallery and Gallery of Modern Art (QAGOMA) เดินชมงานศิลป์ทั้งแบบติดตั้งชั่วคราวและถาวร เรียนรู้แนวคิดการออกแบบ ตั้งแต่ความเป็นมาของออสเตรเลียในอดีต ผ่านงานศิลปะของศิลปินร่วมสมัยและงานประดิษฐ์จากคนท้องถิ่นพื้นเมืองในอดีต จนไปถึงงานอาร์ตร่วมสมัยที่สื่อสารเรื่องราวที่น่าสนใจ



Photo by woodsbagot.com


ช่วงเย็น : แดดเริ่มอ่อนลง ออกจากอาคารไปรับลมธรรมชาติริมน้ำกัน บนเรือ CityCat Ferry ที่ขึ้นจากท่าเรือบริเวณ South Bankหรือจะนั่งชมวิวริมแม่น้ำได้ฟรี ด้วยเรือ CityHopper Ferry ที่สามารถขึ้นเรือจากป้าย North Quay จนถึง Sydney Street แบบไม่เสียค่าใช้จ่าย เมื่อพระอาทิตย์ใกล้จะตก อย่าลืมที่หาร้านนั่ง ชมพระอาทิตย์ตกที่ Howard Smith Wharves ย่านร้านกินดื่มริมน้ำบรรยากาศดี ให้คนรักของคุณประทับใจก่อนพระอาทิตย์จะลับขอบฟ้า



เดทนอกใจกลางเมือง สัมผัสประสบการณ์
คู่ไหนที่ใช้ชีวิตในตัวเมืองเบื่อแล้ว ลองขยับออกไปนอกเมืองแต่ไม่ไกลจนเกินไป เดินทางด้วยรถสาธารณะได้



Photo by  Jarritos Mexican Soda on Unsplash


ช่วงเช้า : เริ่มต้นยามเช้ากันที่ย่าน New Farm ย่านที่ไม่ไกลจากใจกลางเมือง ที่สามารถปั่นจักรยานไปหรือนั่งรถเมล์จากตัวเมืองก็ได้ไม่ไกลมาก หาร้านกาแฟนั่งทานมื้อเช้ากันแบบสไตล์ Local หรือจะนั่งปิกนิกในสวนที่​ New Farm Park ยามเช้า ซึ่งหากเดินทางมาวันเสาร์ของทุกเดือน ในสวนแห่งนี้จะมีตลาดนัดชื่อว่า Jan Powers Farmer Market จำหน่ายสินค้าทางการเกษตร ผัก ผลไม้ตามฤดูกาล, เนื้อสัตว์, ขนมและเครื่องดื่ม ที่ชาวบ้านและเจ้าของฟาร์ม เป็นคนมาตั้งขายด้วยตัวเอง ทำให้มีราคาถูกและวัตถุดิบบางอย่างหาไม่ได้ในซุปเปอร์มาเก็ตด้วย เพลิดเพลินในสวนแล้ว เดินเลียบแม่น้ำบนเส้นทาง New Farm Riverwalk เข้าตัวเมือง อย่าพลาดกับจุดชมวิวมุมสูงที่ Wilson Outlook Reserve ที่แนะนำให้เดินบันได ยืดเส้นยืดสายในตอนเช้า



Photo by Welcome to all and thank you for your visit ! ツ from Pixabay

ช่วงบ่าย : หลังจากได้เดินออกกำลังในตอนเช้าแล้ว เดินทางไปนอกเมืองต่อ ชมความน่ารักของเจ้าโคอาล่าและสัตว์นานาชนิดที่ Lone Pine Koala Sanctuary ศูนย์อนุบาลโคอาล่าขนาดใหญ่ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเข้าไปพบปะได้ใกล้ๆ แถมยังมีบริการถ่ายรูปคู่อุ้มเจ้าโคอาล่าได้เช่นกัน (มีค่าบริการ) ซึ่งเป็นกิจกรรมไฮไลท์ของที่นี่เลยก็ว่าได้ ที่นี่เปิดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็น เพลิดเพลินได้ทั้งวัน อย่าลืมซื้อตั๋วเข้าผ่านระบบออนไลน์ก่อน เผื่อลดเวลาการต่อคิวนะ

ช่วงเย็น : เพิ่มความโรแมนติกของวันด้วยการชมวิวเมืองจากที่สูง บริเวณ Mt.Coot-tha ตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืดจนไปถึงฟ้ามืดสนิท มองเห็นแสงไฟจากตัวเมืองได้ในยามค่ำคืน หากเดินทางไปถึงก่อนฟ้าจะมือ แนะนำแวะที่ Mt.Coot-tha Botanic Gardens สวนพฤกษศาสตร์ที่รวบรวมพืชพันธุ์และดอกไม้หลากหลายชนิด ที่จัดทั้งกลางแจ้งและภายในอาคาร



เดทด้วยกิจกรรมพิเศษสุดหรูหรา เพิ่มความโรแมนติก
หากการเดทธรรมดาๆในเมืองมันน่าเบื่อไป ลองเพิ่มความหวานด้วยการหากิจกรรมสุดพิเศษ (ที่หรูหรา) ใช้ประสบการณ์ร่วมกัน จำได้ไม่ลืม



Photo by brisbanedaytours.com.au


ช่วงเช้า : เริ่มต้นวันแสนโรแมนติกกันแต่เช้ามืด ขับรถออกจากตัวเมือง เพื่อไปขึ้นบอลลูนลมร้อน ในย่าน Scenic Rim หรือ Somerset ที่จะมีผู้เชี่ยวชาญพาเราลอยขึ้นฟ้าอย่างช้าๆ พร้อมกับพระอาทิตย์ที่กำลังจะขึ้นมาในตอนเช้า อีกทั้งยังได้ชมความสวยงามของวิวธรรมชาติและภูเขาสุดลูกหูลูกตา ในบริเวณทางตอนใต้ของเมืองบริสเบน เปิดประสบการณ์เริ่มต้นวันใหม่ที่ไม่เหมือนเดิม

ช่วงบ่าย :  กลับเข้ามาในเมือง เดินเล่นหรือจะนั่งชิลริมน้ำกันที่บริเวณ South Bank Parklands ยิ่งช่วงหน้าร้อนแบบนี้เหมาะอย่างยิ่งที่จะหาอะไรเย็นๆทานดับกระหายในช่วงบ่าย นั่งพักหายเหนื่อยแล้ว พาไปดูแลร่างกายและผิวพรรณกันที่สปาสุดหรู ตั้งอยู่ในโรงแรมใจกลางเมือง เช่นที่ The Healing Stone ตั้งอยู่ในโรงแรม Emporium Hotel South Bank สปาสุดหรู ที่สามารถมองเห็นวิวริมแม่น้ำจากชั้น 21, Away Spa ของโรงแรม W Brisbane หรือจะที่ Heavenly Spa by Westin ของโรงแรม The Westin Brisbane ผ่อนคลายร่างกายหลังจากที่เดินทางตั้งแต่เช้า



Photo by René Ranisch on Unsplash 


ช่วงเย็น : พระอาทิตย์กำลังจะตก บรรยากาศดีๆแบบนี้เหมาะกับการพาไปนั่งดินเนอร์บนแม่น้ำ กับบริการของ Golden Gondola ที่พาเรากับคู่รักขึ้นเรือ Gondola บนแม่น้ำ พร้อมมื้ออาหารแสนอร่อย ก็โรแมนติกไปอีกแบบ หรือจะพาหวานใจไปทานของอร่อย ท่ามกลางวิวยามค่ำคืนริมแม่น้ำแทนก็น่าสนใจไม้แพ่กัน บน Eagle Street มีร้านอาหารบรรยากาศดีเรียงราย ได้แก่ร้าน Alchemy Restaurant and Bar Brisbane และร้าน Customs House เป็นสองร้านดัง ที่เสิร์ฟอาหารสไตล์ Modern Australia แนะนำจองโต๊ะล่วงหน้าก่อนเข้าไป



เดทแบบสายลุย ผจญภัยนอกเมือง
เปลี่ยนแนวการเดทแบบหรูหรา ออกมาผจญภัยนอกเมืองกันสักหน่อย กับเส้นทางธรรมชาติกลางป่าหรือจะเป็นชายหาดแสนชิล
ไปสัมผัสความสวยงาม แถมได้ใช้เวลาพูดคุยกันตลอดทั้งการเดินทาง



Photo by Chinh Le from Pixabay


ช่วงเช้า : ตะลอนออกเดินทางจากตัวเมืองประมาณ 1 ชั่วโมง เดินทางไปยังอุทยานแห่งชาติ Springbrook National Park สามารถเดิน Trekking เส้นทางสั้น-กลาง ประมาณ​ 1-4 กิโลเมตรทางราบ หรือแบบเส้นทางยาว 14 กิโลเมตร เดินหลายชั่วโมง จุดที่ต้องแวะถ่ายรูปด้วย มีตั้งแต่  Twin Falls Circuit และ Purling Brook Falls น้ำตกสูงตระหง่านฟ้า, Canyon Lookout จุดชมวิวอุทยานมุมสูง และไฮไลท์พิเศษของอุทยานแห่งนี้คือถ้ำหนอนเรืองแสง หรือ Glow Warm Cave ซึ่งเกิดจากการเรืองแสงของแมลงชนิดหนึ่ง คล้ายกับหิ่งห้อยนั่นเอง
ระหว่างเส้นทางที่เดินภายในอุทยานแห่งชาติ Springbrook จะได้พบกับพืชพรรณที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย ที่มีต้นกำเนิดย้อนกลับไปเมื่อ 100 ล้านปีก่อนเลยทีเดียว



Photo by Sasin Tipchai from Pixabay


ช่วงบ่าย : หากเดินเส้นทางระยะสั้น ช่วงบ่ายสามารถขับรถออกไปยัง Gold Coast เมืองแห่งชายหาดที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้า ร้านอาหารมากมาย มีชายหาดยอดนิยมอย่าง Surfers Paradise Beach และ Broadbeach กิจกรรมที่ควรมาทำอย่างยิ่ง นั่นคือการเล่น Surfing หรือหากคุณเป็นมือใหม่ ที่นี่มีโรงเรียนสอนเล่นโดยเฉพาะ ที่กระจายอยู่หลายหาด ได้แก่ที่ Get Wet Surf School ซึ่งเป็นโรงเรียนนิยม

ช่วงเย็น : ก่อนฟ้าจะมืด เปลี่ยนบรรยากาศขึ้นเฮลิคอปเตอร์ ท้าทายความสูง เพื่อชมวิวท้องทะเลอันกว้างสุดลูกหูลูกตา และชายหาด Gold Coast จากมุมสูง ก่อนจะหมดวัน หรือหากแค่ต้องการนั่งเล่นปิคนิกในบรรยากาศริมหาด แนะนำชายหาด Burleigh Heads Beach และ Currumbin Beach ซึ่งก็เป็นอีกหาดที่ยอดนิยมเช่นกัน โดยมีส่วนของลานสนามหญ้า ที่ผู้คนต่างพาครอบครัวและสัตว์เลี้ยงมาเดินเล่นรับลม


บางครั้งการอยู่ด้วยกันกับคู่รักนานๆ อาจจะหลงลืมที่จะทำอะไรให้กันและกัน นอกจากจะซื้อของขวัญเล็กๆน้อยๆ หรือช่อดอกไม้แล้ว การพาคนรักของคุณไปทำกิจกรรมใหม่ๆด้วยกัน ก็ยิ่งช่วยให้ความสัมพันธ์ไม่น่าเบื่อและจืดจางลงไป แถมยังได้เรียนรู้นิสัยของคนรักคุณมากยิ่งขึ้นกว่าเดิมอีกด้วย

3


หากพูดถึงการศึกษาต่อต่างประเทศ ออสเตรเลียนับคือหนึ่งในจุดหมายยอดนิยมไม่แพ้อังกฤษหรือสหรัฐฯ ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างเลือกที่จะใช้ชีวิตต่อ 1-2 ปี หรือยาวนานกว่านั้น เหตุผลหลักคือเรื่องคุณภาพของการศึกษาที่ดี
ออสเตรเลียนับเป็นประเทศที่มีมหาลัยที่มีคุณภาพชั้นนำ ที่ถูกจัดอันดับเป็นมหาลัยที่ดีที่สุดอันดับๆของโลก ทำให้หลายคนที่ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือชาวต่างชาติ ต่างเลือกที่จะมาศึกษาต่อในประเทศออสเตรเลีย ไม่ว่าจะเป็นทั้งแบบระยะสั้นหรือระยะยาว และยังมีเหตุผลอื่นๆที่ผู้คนต่างเลือกที่จะมายังประเทศนี้ มาทำความเข้าใจระบบการศึกษาของประเทศออสเตรเลียกันให้มากยิ้งขึ้น ในบทความนี้เลย

ระดับการศึกษาในภาพรวม


Photo by svklimkin from Pixabay

เริ่มต้นกันที่ Early Childhood Education (Preschool) ระดับชั้นแรกเริ่ม สำหรับเด็กที่มีอายุ 4-5 ปี ที่มุ่งเน้นไปกับการเล่น, การสร้างสังคมและมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกันภายในกลุ่มอายุเดียวกัน

Primary School หรือชั้นประถม สำหรับเด็กอายุ 6-12 ปี เมื่อโตขึ้นเริ่มโฟกัสพื้นฐานการศึกษา เช่นหลักสูตรภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์และสังคม รวมไปถึงศิลปะ

Secondary School หรือระดับชั้นมัธยม ที่จะศึกษาเจาะลึกลงไปในสายวิชาการ หรือสายอาชีพที่ผู้เรียนสนใจเป็นพิเศษ



Photo by StockSnap from Pixabay

Tertiary Education หรือระดับชั้นหลังมัธยม ที่ใครหลายคนทราบคือระดับอุดมศึกษาที่ศึกษาในมหาวิทยาลัย แต่ในออสเตรเลีย มีระดับการเรียนที่แยกย่อยลงไปมากกว่านั้น

  • Certificate 1 และ 2
: หลังเรียนจบชั้นมัธยม หากผู้เรียนสนใจในสายอาชีพที่เกี่ยวข้องด้านการบริการลูกค้า ร้านอาหาร และสายทักษะแรงงานอาชีวะ สามารถลงเรียนคอร์สระยะสั้นเพียงไม่กี่เดือนแบบนี้ได้

  • Certificate 3 และ 4
: เป็นการเรียนที่เจาะลึกลงไปในสายอาชีพที่จะทำ เช่น พยาบาล, เชฟ, ช่างไฟฟ้า หรือช่างเทคนิคด้าน IT

  • Diploma
: หรือถ้าคนไทยจะเรียกว่าอนุปริญญา เป็นระดับการศึกษาที่ใช้เวลาหนึ่งถึงสองปี โดยจะเรียนลงลึกในเรื่องทักษะและความรู้ ของสายงานที่กำลังจะทำมากขึ้น เช่น อาชีพครูอนุบาล, กราฟิกดีไซน์เนอร์, นักบัญชี

  • Advanced Diploma และ Associate Degree
: เป็นการเรียนหลังจากจบอนุปริญญาเพิ่มอีกสองปี เฉพาะสายอาชีพที่มีความจำเป็นทีต้องเรียนขั้นสูง เช่น สายวิศวกรรม, Computer Science หรือ งานด้านสื่อสารมวลชน ซึ่งสามารถโอนทักษะต่อไปยังระดับปริญญาตรีได้

หลังจากนั้นไป ก็จะเป็นระดับอุดมศึกษาที่ทราบกันเป็นอย่างดี ได้แก่ ปริญญาตรี (Bachelor Degree) มีอีกชื่อที่เรียกว่า Undergraduate , ปริญญาโท (Master Degree) และ ปริญญาเอก (PhD) ที่เรียกรวมว่า Postgraduate


Photo by Pexels from Pixabay

หากคุณมีบุตรหลานที่ไม่ใช่พลเมืองออสเตรเลีย แต่ต้องการให้เค้าได้เรียนในประเทศนี้ บอกเลยว่าไม่ต้องกังวล หากเด็กอายุเกิน 5 ปี (ขั้นต่ำในการเข้า Preschool) แต่ไม่เกิน 18 ปี รัฐบาลสามารถออกวีซ่านักเรียนให้สำหรับเด็กได้ ส่วนผู้ปกครองหรือผู้ติดตาม ต้องมีอายุเกิน 21 ปี และมีความพร้อมทั้งด้านการดูแลและทุนทรัพย์ ก็สามารถออกวีซ่าติดตามมาได้ เมื่อเด็กอายุเกิน 18 ปี จำเป็นต้องดำเนินการขอวีซ่านักเรียนด้วยตัวเองต่อไป หากต้องการ


สถาบันชั้นนำที่ได้รับการยอมรับระดับโลก


Photo by unimelb.edu.au

ในทุกปีคุณอาจจะเห็นการจัดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก 100 อันดับ ในปี 2024 นี้มีหลายสถาบันในออสเตรเลียที่ถูกจัดอันดับเช่นกัน อ้างอิงจาก QS World University Rankings ได้แก่มหาลัยฯต่อไปนี้

University of Melbourne ถูกจัดอันดับที่ 14 ของโลก เป็นมหาลัยฯที่ดีที่สุดในออสเตรเลีย สาขาอันโด่งดังมีมากถึง 14 สาขา มีทั้งศิลปศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ด้านกฎหมาย, ด้านสาธารณสุข และด้านครุศาสตร์

University of Sydney และ University of New South Wales (UNSW Sydney) ทั้งสองสถาบันถูกจัดอันดับมหาลัยที่ดีที่สุดอันดับ 19 โดดเด่นด้านการทำวิจัย โดยเฉพาะระดับ Postgraduate

Australian National University (ANU) ตั้งอยู่ที่ Canberra เมืองหลวงของประเทศ เด่นดังในด้านกฎหมายและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จึงถูกจัดให้อยู่ในอันดับ 34 ของโลก

University of Queensland (UQ) รัฐคลีนส์แลนด์ของเราก็ไม่น้อยหน้า กับอันดับ 43 ของโลก ใครที่อยากศึกษาต่อด้านธุรกิจ, วิศวกรรม และการแพทย์ มหาลัยฯนีมีชื่อเสียงด้านเหล่านี้โดยเฉพาะ

Monash University มหาลัยฯที่มีแคมปัสอยู่หลายแห่ง ทั้งในเมลเบิร์น, Clayton และ Gippsland สาขาโด่งดังได้แก่ ด้านวิศวกรรม, กฎหมาย และ การแพทย์ ถูกจัดในอันดับ 42 ของโลก

การได้มาซึ่งคุณภาพการศึกษาทีดี บางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะต้องผ่านการทดสอบทักษะขั้นพื้นฐานแล้ว ทุนทรัพย์ก็เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้นักเรียนต่างชาติเข้าถึงการศึกษาในออสเตรเลียได้ไม่ง่ายดายนัก แล้วทำไมผู้คนต่างอยากมาศึกษาต่อในประเทศออสเตรเลีย?


ทำไมการศึกษาในออสเตรเลียถึงดีกว่าที่อื่นๆ


Photo by Naassom Azevedo from Pixabay

      มีเหตุผลหลายประการ ว่าทำไมการศึกษาในออสเตรเลียถึงมีคุณภาพ และได้การยอมรับจากหลายประเทศทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่องและยาวนาน

ไม่ว่าจะเป็นการมีแผนการเรียนการสอนที่แข็งแรง โฟกัสกับการลงมือทำและเนื้อหาสอน อีกทั้งยังมีการปรับหลักสูตรใหม่ให้สอดคล้องกับยุคสมัย สามารถต่อยอดในการทำอาชีพได้จริงในอุตสาหกรรมแรงงาน ไม่ใช่แค่ในออสเตรเลีย แต่ในอีกหลายประเทศทั่วโลกที่ต้องการทักษะเหล่านี้
นอกจากนี้ประเทศยังมีหน่วยงานของรัฐ ที่วางแผน, ตรวจสอบ และควบคุมหลักสูตรการสอน เช่น หน่วยงานที่มีชื่อว่า The Australian Curriculum, Assessment and Reporting Framework (ACARA) และ The Australian Qualifications Framework (AQF) เป็นต้น

ที่สำคัญคือตัวเลือกของการเรียนที่มีค่อนข้างหลากหลาย เหมาะกับความต้องการแต่ละบุคคล ตั้งแต่ระดับปริญญามหาวิทยาลัย, TAFE (Technical and Further Education) และ VET (Vocational Education and Training) เต็มไปด้วยหลักสูตรที่มุ่งเน้นไปทางด้านสายวิชาชีพ, สถาบันการศึกษาเอกชน อย่างการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อต่อยอดการศึกษา หรือหากผู้เรียนมีความสนใจในเรื่องเฉพาะเจาะจง ที่สถาบันส่วนใหญ่ไม่มี ก็สามารถหาได้ที่ออสเตรเลีย อีกปัจจัยคือความหลากหลายของผู้เรียนที่มาจากทั่วทุกมุมโลก ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ช่วยสร้างสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ได้ดีกว่า


Photo by Ronald Carreño from Pixabay

หากพูดถึงปัจจัยภายนอก รัฐบาลออสเตรเลียเองได้ลงทุนกับอุตสาหกรรมการศึกษาอย่างจริงจัง และให้ความสำคัญกับผู้เรียนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการปรับเปลี่ยนหลักสูตรให้เหมาะสม อีกทั้งยังสนับสนุนนักเรียนจากต่างชาติ ได้รับโอกาสในการศึกษาไม่แพ้กับประชากรในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนเรื่องทุนการศึกษา รวมไปถึงรูปแบบคอร์ส ที่มีทั้งแบบระยะสั้น และพยายามตอบโจทย์งบประมาณและเวลาของผู้เรียนที่มีจำกัด หรือในบางหลักสูตรไม่มีการจำกัดอายุ และประสบการณ์ทำงานอีกด้วยซ้ำ

หลายๆมหาลัยเอง ยังได้จับมือกับภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้ผู้ที่เรียนมีโอกาสเรียนรู้ประสบการณ์ทำงานจริง ผ่านการฝึกงาน จบหลักสูตรไป จึงมีโอกาสทำงานได้ตรงกับสายที่เรียนได้มากกว่า

ในส่วนของปัจจัยอื่นๆ ที่อาจเกี่ยวข้อง นั่นคือการดำรงชีวิตในประเทศ ในช่วงที่กำลังศึกษาผู้เรียนมีโอกาสทำงานได้อย่างถูกต้องตามกฏหมาย (ในชั่วโมงที่จำกัด) ด้วยวีซ่านักเรียน ทำให้สามารถจับจ่ายและวางแผนการใช้ชีวิตในประเทศได้อย่างไม่ต้องกังวลจนจบการศึกษา อีกทั้งยังมีวีซ่าพิเศษสำหรับผู้ที่เรียนจบระบบ Postgraduate ที่สามารถหางานต่อได้ในประเทศอีกระยะหนึ่ง ซึ่งเป็นบันไดไปสู่การขอยื่น PR และ Citizenshipในอนาคต


Photo by Mariya from Pixabay

อีกทั้งสังคมและผู้คนในออสเตรเลียที่ค่อนข้างปลอดภัย บ้านเมืองมีกฎระเบียบชัดเจน ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องกังวลใจผู้ปกครองหายห่วง ที่สำคัญคนไทยและชาวเอเชียอย่างเรา ได้เข้ามาพำนักตั้งรกรากถาวรเป็นจำนวนมาก ทำให้เรื่องอาหารการกินนั้นไม่เป็นปัญหาเลย

อย่างไรก็ตาม การได้ศึกษาต่อในสถาบันที่ดีไม่ได้เป็นเครื่องการันตีถึงความสำเร็จในการหางานได้แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคสำหรับผู้ที่มีความตั้งใจ และมองหาโอกาสอยู่เสมอ

อ้างถึง

www.topuniversities.com

www.dfat.gov.au

www.studyaustralia.gov.au

www.goabroad.com

4


เดือนธันวาคม เดือนแห่งการเฉลิมฉลองและใช้เวลาร่วมกันกับครอบครัวและเพื่อนฝูง ก่อนที่จะอำลาปี 2023 อย่างเป็นทางการ มีหลายสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในเดือนนี้ ไม่ว่าเป็นกิจกรรมพิเศษ หรืออะไรๆที่กำลังเปลี่ยนแปลง รวมไปถึงสิ่งที่คุณต้องเตรียมตัวจัดการ มีอะไรที่ต้องรู้บ้าง ตามมาดูกัน

Photo by Silvia from Pixabay

เตรียมพร้อมร่างกาย ก่อนเข้าสู่หน้าร้อนอย่างเต็มตัวในเดือนมกราคม

      หลังจากที่อากาศเย็นสบายๆในช่วงเดือนท้ายๆของปี เมื่อเข้าสู่เดือนมกราคม จะทราบกันดีว่าเป็นเดือนของความร้อนระอุ แม้ว่าคนไทยเราจะคุ้นชินกับสภาพอากาศร้อน แต่ก็เป็นการดีที่จะเตรียมเสื้อผ้าให้เหมาะสมกับอุณหภูมิที่จะยิ่งร้อนขึ้นอย่างทวีคูณ และอย่าลืมที่จะกินน้ำบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ร่างกายขาดน้ำ

Photo by Estée Janssens on Unsplash

เตรียมพร้อมท่องเที่ยวในช่วงวันหยุดยาว

      ช่วงสิ้นปีตรงกับหน้าร้อนอย่างเต็มรูปแบบ หลายคนเลือกที่จะไปท่องเที่ยวเพื่อดับร้อน โดยเฉพาะชายทะเล ไม่ว่าจะเดินทางไปด้วยรถสาธารณะ หรือขับรถ Road Trip ระยะไกล เพื่อไปแคมป์ปิ้งกันริมชายหาด หรือไปเคาท์ดาวน์ปีใหม่กันข้ามเมือง ก็อย่าลืมที่จะตรวจเช็คสภาพรถยนต์ รวมถึงอุปกรณ์ที่ใช้งานในทริปว่าพร้อมใช้งานหรือไม่ เมื่อให้ไม่มีอะไรติดขัด ชำรุดในระหว่างทริปอันแสนสนุกของคุณ

Photo by Michael Fousert on Unsplash

เตรียมนับถอยหลังสู่ 2024 ชมพลุปีใหม่สุดอลังการประจำเมือง

      คุณอาจมีแพลนที่จะท่องเที่ยวข้ามเมืองในช่วงหยุดยาวสิ้นปี เพื่อไปสัมผัสบรรยากาศเคาท์ดาวน์ก่อนเข้าสู่ 0.00 น.ของวันที่ 1 มกราคม ในเมืองใหญ่หลายเมือง รวมถึงบริสเบนมีกิจกรรมเฉลิมฉลองในวัน New Year’s Eve กันอย่างยิ่งใหญ่ ในปีนี้ (และหลายปีที่ผ่านมา) งานเคาท์ดาวน์ที่บริสเบนจัดขึ้นบริเวณแม่น้ำบริสเบนใจกลางเมือง ผู้คนสามารถชื่นชมพลุที่จุดขึ้นในคืนปีใหม่ ได้ที่บริเวณ South Bank และบริเวณ Kangaroo Point ส่วนเมืองใกล้เคียงที่สามารถร่วมสนุกได้ เช่นที่ Gold Coast จะจุดพลุใกล้กับชายหาดหลายจุด ไม่ว่าจะเป็น Surfers Paradise , Kurrawa Park, Broadbeach, Coolangatta Beach ฯลฯ และที่ Sunshine Coast, Cairns และ Townsville ก็เช่นกัน อยากสัมผัสประสบการณ์เคาท์ดาวน์ที่ไหน อย่าลืมวางแผนกันได้


Photo by charlesdeluvio on Unsplash

เตรียมเงินไปช้อปปิ้งช่วงเซลล์ส่งท้ายปี

      ก่อนจะหมดปี จะเป็นช่วงที่ร้านค้าต่างนำสินค้ามาลดราคากันอย่างล้นหลาม เพื่อเคลียร์สต๊อกก่อนเริ่มคอลเลคชั่นใหม่ เป็นช่วงเวลาที่ดีที่ออกไปจับจ่าย ซื้อสินค้าที่เล็งไว้มาทั้งปี เพื่อตัวเองหรือซื้อเป็นของขวัญในวันคริสต์มาสหรือปีใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโอกาสพิเศษอย่างวัน Black Friday (ที่เพิ่งผ่านพ้นไป) และวัน Boxing Day ที่กำลังใกล้เข้ามาถึงในวันที่ 26 เริ่มกันตั้งแต่เช้าหลังวันคริสมาสต์ ที่แต่ละร้านจะเปิดประตู พร้อมลดราคากันแบบฉ่ำๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์, เสื้อผ้าแฟชั่นต่างๆ, เครื่องสำอางค์ ฯลฯ ค้นหาสินค้าที่ถูกใจ ยื่นบัตรพร้อมจ่ายได้เลย

Photo by concreteplayground.com

เตรียมรอเทศกาลและวันหยุดที่กำลังจะเกิด

      ตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคมจนถึงเดือนมกราคม ออสเตรเลียเต็มไปด้วยวันหยุดยาวประจำปีให้ได้พักผ่อน เริ่มต้นกันด้วยเทศกาลคริสมาสต์ ในบริสเบนสร้างบรรยากาศด้วยการประดับตกแต่งสวยงามตามจุดต่างๆในเมือง โดยเฉพาะบริเวณ Brisbane City Hall ที่มีต้นคริสมาสต์ตั้งตระหง่านด้านหน้า และโชว์แสงสีเสียงจากการฉายไฟด้านหน้าอาคารยามค่ำคืน ผู้คนสามารถนั่งชมฟรีตั้งแต่หนึ่งทุ่มครึ่งจนถึงเที่ยงคืน รวมถึงกิจกรรมสำหรับเด็กและครอบครัวอย่าง “The South Bank Christmas Show” ที่มีโชว์ดนตรี เต้น และเกมส์สนุกๆ จัดขึ้นตลอดทั้งเดือนธันวาคมก่อนจบลงในวันที่ 25 ธันวาคม


Photo by sunshinecoastnews.com.au

มาต่อกันที่เทศกาลดนตรีประจำปีที่หลายคนต่างเฝ้ารอ กับ Woodford Folk Festival งานที่รวมการแสดงดนตรีโฟลค์อย่างยิ่งใหญ่ รวมถึง กิจกรรม Workshop เกี่ยวกับศิลปะ เป็นอีกหนึ่งเทศกาลดนตรีที่ยิ่งใหญ่ของออสเตรเลียเลยก็ว่าได้ จัดกันข้ามปีเลยตั้งแต่วันที่ 27 ธันวาคม จนจบเคาท์ดาวน์เข้าสู่วันที่ 1 ม.ค. ใครที่อยากฟังดนตรีสบายๆ ผ่อนคลายในช่วงสิ้นปี ห้ามพลาดงานนี้ เพราะหนึ่งปีมีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

Photo by nationaltoday.com

ข้ามปีเข้าสู่เดือนมกราคมจะเจอกับวันสำคัญของประเทศนั่นคือ Australia Day หรือวันชาติออสเตรเลียในวันที่ 26 มกราคม เป็นวันสำคัญวันแรกที่กัปตัน Arthur Phillip พร้อมนักเดินเรือจากฝั่งสหราชอาณาจักร ลงเรือปักธง ตั้งหมุดหมายล่าอาณานิคม และขยายประเทศบนเกาะออสเตรเลียครั้งแรกในปี 1788 พื้นที่แรกที่ตั้งหมุดหมายตั้งอยู่ในรัฐ New South Wales ปัจจุบันวันชาติออสเตรเลียเป็นวันที่ตระหนักถึงประวัติศาสตร์ประเทศ กับกลุ่มชาติพันธุ์ดั้งเดิมอย่างชาวอะบอริจิน หรือ Aboriginal ที่มีเหตุการณ์สูญเสียในอดีต นอกจากจะมีกิจกรรมเสวนาให้ความรู้ และการแสดงทางวัฒนธรรมจากชนเผ่า เพื่อแสดงความเคารพในวันออสเตรเลียแล้ว เนื่องจากเป็นวันหยุด ผู้คนจึงต่างออกมาปิกนิค พักผ่อนร่วมกับเพื่อนๆและครอบครัวตามสวนสาธารณะ และจบวันด้วยพลุอันสวยงามยามค่ำคืน ที่สามารถชมได้บริเวณ South Bank Parklands

Photo by Svitlana on Unsplash

เตรียมวางแผนเป้าหมายใหม่ๆ พิชิตในปี 2024

      สิ้นปีเป็นช่วงเวลาที่ดี ได้ทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเป้าหมายที่เคยตั้งไว้เมื่อปีที่แล้ว ได้ทำลุล่วงสำเร็จไปมากน้อยแค่ไหน ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แม้ว่าดีหรือไม่ ล้วนเป็นบทเรียนได้เรียนรู้และเติบโตไปอีกปี เชื่อว่าบทเรียนเหล่านี้ จะช่วยตั้งเป็นเป้าหมายและพัฒนาตัวเอง หรือ New Year Resolution ในปีหน้าได้ดียิ่งขึ้น ขอให้สิ่งที่ผู้อ่านตั้งใจไว้ สำเร็จสมหวังในทุกประการในปีหน้าค่ะ


;) ;) ;) Happy New Year 2024 ;D ;D ;D

อ้างถึง
queensland.com/

5



      ออสเตรเลีย จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับผู้ที่ต้องการอาศัยและทำงานในประเทศที่มีความหลากหลายทั้งผู้คนและวัฒนธรรม  หลายครั้งที่ได้พูดคุยกับคนไทย หรือแม้แต่เพื่อนต่างชาติ ที่มาอยู่ออสเตรเลียเป็นเวลานานๆ หลายคนต่างมีเป้าหมายคล้ายกัน ที่จะยื่นขอ “PR” หรือการอยู่อาศัยถาวร เพราะออสเตรเลียมอบสิทธิประโยชน์มากมายในการใช้ชีวิต สิทธิขั้นพื้นฐาน และความเป็นพลเมือง อย่างไรก็ตาม การขอวีซ่าถาวรไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด ในบทความนี้ เราจะอธิบายว่าวีซ่าถาวรคืออะไร ทำไมการขอวีซ่าประเภทนี้ ถึงเป็นที่ต้องการของคนมากมาย


วีซ่าถาวร หรือ Permanent Residence Visa (PR) คืออะไร?

Photo by Chris Fuller on Unsplash

      วีซ่าถาวร เป็นวีซ่าประเภทหนึ่งที่อนุญาตให้คุณอยู่ในออสเตรเลียได้อย่างไม่มีกำหนด ต่างจากวีซ่าชั่วคราวซึ่งมีวันหมดอายุและอาจมีเงื่อนไขแนบมาด้วย วีซ่าถาวรให้สิทธิ์คุณในการอยู่อาศัย ทำงาน เรียน และเดินทางในออสเตรเลียโดยไม่มีข้อจำกัดใดๆ อย่างไรก็ตาม วีซ่าถาวรไม่ได้ทำให้คุณเป็นพลเมืองออสเตรเลีย คุณจะต้องยื่นขอสัญชาติหากคุณต้องการได้รับสิทธิและความรับผิดชอบอย่างเต็มที่ในการเป็นชาวออสเตรเลีย การได้รับสถานะ PR ในออสเตรเลีย มาพร้อมกับสิทธิหลากหลายประการ ได้แก่

ทำงานและใช้ชีวิตอย่างถาวร
ด้วยวีซ่า PR คุณสามารถอาศัยและทำงานในออสเตรเลียได้อย่างไม่มีกำหนด ซึ่งเป็นเหตุผลหลักที่ดึงดูดผู้คนที่หลงรักประเทศนี้สนใจสมัคร วีซ่าถาวรยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกในการเดินทางซึ่งมีอายุการใช้งาน 5 ปีนับจากวันที่ได้รับอนุมัติ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถออกและกลับเข้าออสเตรเลียได้บ่อยเท่าที่คุณต้องการ ภายในระยะเวลาดังกล่าว

การเข้าถึงประกันสังคม
คุณสามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ประกันสังคม หรือที่เรียกกัน Medicare เป็นโครงการดูแลสุขภาพสากลของรัฐบาลออสเตรเลีย สามารถเข้าถึงการรักษาในโรงพยาบาลของรัฐได้ฟรี หรือได้รับเงินอุดหนุน เช่นเดียวกับสิทธิประโยชน์อื่นๆ มากมาย รวมถึงเงินบำนาญอายุ และการสนับสนุนทางการเงิน แก่ผู้ที่ไม่สามารถทำงานได้เนื่องจากอายุหรือความทุพพลภาพ

การศึกษา
คุณสามารถลงทะเบียนในโปรแกรมการศึกษาในออสเตรเลียได้ ซึ่งมีสิทธิ์ได้รับค่าเล่าเรียนที่ต่ำกว่านักศึกษาต่างชาติอย่างมาก เหมาะสำหรับใครที่อยากศึกษาต่อในชั้นอุดมศึกษา ซึ่งเป็นอย่างที่เราทราบกันดีกว่าที่นี่ได้รวมมหาวิทยาลัยขั้นนำ ติดอันดับระดับโลกมากมาย

สมาชิกในครอบครัวที่อุปถัมภ์
ในฐานะผู้ถือ PR คุณสามารถอุปถัมภ์สมาชิกในครอบครัวและบุตรหลาน มีสิทธิ์มาอยู่ออสเตรเลียได้

เส้นทางสู่ความเป็นพลเมืองในอนาคต
หลัง 4 ปีของการถือ PR คุณมีสิทธิ์ยื่นขอสัญชาติออสเตรเลียได้ สิ่งนี้ทำให้ได้รับสิทธิและสิทธิพิเศษทั้งหมดของพลเมืองออสเตรเลีย รวมถึงสิทธิในการลงคะแนนเสียงและสามารถทำงานในระบบราชการได้



แต่อย่างไรก็ตามวีซ่า PR ก็ยังไม่เทียบเท่ากับพลเมือง หรือ Citizenship ตัวอย่างเช่น การโหวตเลือกตั้ง พลเมืองออสเตรเลียสามารถเลือกผู้นำผู้แทนประเทศได้ แต่ PR ไม่สามารถทำได้* (*แต่ผู้ถือวีซ่า PR ในบางสัญชาติ สามารถเลือกตั้งได้) รวมถึงสิทธิที่จะได้รับการคุ้มครอง ทางกงสุลจากรัฐบาลออสเตรเลียเมื่ออยู่ต่างประเทศ และการดำรงตำแหน่งทางราชการ เป็นต้น



ปูเส้นทางชีวิต สู่การขอ PR

Photo by ThisisEngineering RAEng on Unsplash

      มีหลายวิธีในการได้มาซึ่งวีซ่าพำนักถาวรของออสเตรเลีย หนึ่งในเส้นทางนิยมและพูดถึงมากที่สุดเพื่อการขอ PR และ Citizenship ในขั้นตอนถัดไป นั่นคือ การถือวีซ่าทักษะทำงาน (Skilled Migration) โดยวีซ่าประเภทนี้ แบ่งได้ 2 ประเภทใหญ่ๆ ที่นิยมขอกัน นั่นคือ วีซ่าทักษะอาชีพที่ประเทศต้องการ กับ วีซ่าทักษะอาชีพที่นายจ้างต้องการ มาดูกันว่ามีเงื่อนไขแตกต่างกันอย่างไร


ประเภท Skilled Migration (Point-based)

      คือการยื่นขอวีซ่าจากทักษะ ความสามารถ ประสบการณ์การทำงานของตัวเอง และเป็นสายงานที่ต้องการของรัฐบาลออสเตรเลียเป็นอย่างยิ่ง โดยใช้ระบบคะแนนเพื่อผ่านการคัดกรอง แบบไม่มีใครสปอนเซอร์ ถ้าผ่านเกณฑ์ขั้นต่ำก็มีสิทธิ์ยื่นเรื่องต่อได้ ซึ่งวีซ่าที่อยู่ภายใต้ประเภทนี้ ที่นิยมขอกันคือ Skilled Independent Visa (Subclass 189) และ Skilled Nominated Visa (Subclass 190) โดยหัวข้อที่คัดเลือก มีได้แก่

  • อายุ : โดยทั่วไปต้องไม่เกิน 45 ปี หรือถูกเชิญมาให้สมัครมาเป็นกรณีพิเศษ
  • สาขาที่เรียนจบ และ ประสบการณ์ทำงาน : ต้องอยู่ในลิสต์รายการ Medium and Long-term Strategic Skills List (MLTSSL) หรือ Short-term Skilled Occupation List (STSOL) ที่รัฐบาลกำหนด*

*ข้อมูลอ้างอิงสำหรับ MLTSSL และ STSOL
https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/working-in-australia/skill-occupation-list

  • ผลภาษาอังกฤษ : IELTS หรือสอบวัดระดับ PTE
  • ผ่านการตรวจสอบประวัติอื่นๆ เช่น สุขภาพ,ประวัติอาชญากรรม ฯลฯ

จึงเป็นเหตุผล ที่ชาวต่างชาติรวมถึงคนไทยเลือกมาศึกษาต่อในสายงานที่ประเทศกำลังต้องการ อันได้แก่ ด้านวิศวกรรมและเทคโนโลยี, การแพทย์และพยาบาล,​ อาหารและครัว, โรงแรมและบริการ ฯลฯ ซึ่งเมื่อเรียนจบแล้วก็สามารถยื่นเรื่องขอวีซ่าประเภทนี้ด้วยตัวเอง หรือจะทำงานในบริษัทที่นายจ้างสามารถสปอนเซอร์ต่อได้ ซึ่งจะเป็นวีซ่าประเภทถัดไป


Photo by Josh Olalde on Unsplash


ประเภท Skilled Migration (Employer Nomination) หรือ Employer Nomination Scheme (ENS)

      จะเรียกว่าวีซ่าแรงงานฝีมือดีก็ว่าได้ เป็นรูปแบบที่คุณต้องเป็นคนที่ได้รับการเสนอชื่อโดยนายจ้างชาวออสเตรเลีย ให้ดำรงตำแหน่งที่มีทักษะเฉพาะ ซึ่งคนออสเตรเลียคนอื่นไม่สามารถทำงานเหมือนคุณได้ วีซ่าประเภทนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถและการสปอนเซอร์นายจ้างล้วนๆ เพื่อแสดงออกให้เห็นว่าคุณคือพนักงานที่มีทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นสำหรับนายจ้าง ข้อดีคือผู้ยื่นไม่ต้องผ่านระบบคะแนน เหมือนประเภทแรก แต่จำเป็นต้องผ่านคุณสมบัติดังต่อไปนี้


  • ถูกเสนอชื่อจากนายจ้างชาวออสเตรเลียที่มีคุณสมบัติเหมาะสม : นายจ้างต้องจ้างคุณเต็มเวลาและดำรงสายงานในลิสต์รายการ Medium and Long-term Strategic Skills List (MLTSSL) หรือ Short-term Skilled Occupation List (STSOL) ที่รัฐบาลกำหนด*

*ข้อมูลอ้างอิงสำหรับ MLTSSL และ STSOL
https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/working-in-australia/skill-occupation-list

  • ผ่านการประเมินทักษะ กับหน่วยงานรับรองที่เกี่ยวข้อง เช่น ผู้ที่ทำงานสาย IT หรือนักบัญชี จำเป็นต้องทำ Skill Assessment และในบางสายอาชีพต้องได้รับวุฒิสูงกว่า Diploma หรือไม่ดูวุฒิเลย แต่เป็นต้น
  • ผลภาษาอังกฤษ : IELTS หรือสอบวัดระดับ PTE
  • ผ่านการตรวจสอบประวัติอื่นๆ เช่น สุขภาพ,ประวัติอาชญากรรม ฯลฯ

ขึ้นชื่อว่าผ่านนายจ้าง แน่นอนว่าคุณต้องผ่านการทำงานด้วยกัน หรือรู้จักคุ้นเคยกันมาก่อน ไม่ว่าจะด้วยวีซ่านักเรียน (ทำงานไประหว่างเรียน), วีซ่าพำนักชั่วคราวหลังเรียนจบ หรือ Temporary Graduate visa (subclass 485 ที่สามารถทำงานได้เต็มที่หลังจบการศึกษา หรือถ้าโชคดีมากๆ มีโอกาสได้วีซ่าทำงาน หรือ Working Visa (subclass 457) มาก่อนจากนายจ้าง และยื่นเรื่องต่อเพื่อขอ PR ก็ได้เหมือนกัน


Photo by Mimi Thian on Unsplash


      เส้นทางยอดนิยมของคนไทยหลายคน เริ่มต้นจากการลงเรียนภาษา เพื่อทำงานหาประสบการณ์ ต่อมาลงเรียนในวุฒิการศึกษาเฉพาะ ไม่ว่าจะไต่ระดับจาก Certificate, Diploma จนถึงระดับมหาลัยฯ โดยเรียนให้ตรงกับสายอาชีพ พร้อมทำงานควบคู่ไปด้วยกัน เมื่อทำงานมาด้วยกันยาวนานและได้พูดคุยตกลงกับนายจ้างแล้ว คุณก็มีพร้อมทั้งทักษะฝีมือ ประสบการณ์ และวุฒิการศึกษาที่ตรงกับสายงาน ก็ทำให้เส้นทางการขอ PR ก็ชัดเจนยิ่งขึ้น

หากมีแค่การวางแผนระยะยาวและเงินทุน เพียงสองอย่างอาจไม่เพียงพอที่จะได้มาซึ่ง PR แต่คุณต้องมีทักษะเฉพาะเจาะจงและโดดเด่น ที่ประเทศต้องการหรือนายจ้างต้องการ จึงจะสามารถอยู่ในออสเตรเลียได้ในระยะยาว


Photo by William Rouse on Unsplash

และยังมีวีซ่าประเภทอื่นๆที่สามารถทำเรื่องอยู่ถาวรได้ เช่นการถือวีซ่าคู่ครอง หากได้คบหาดูใจและพักอยู่ร่วมกันกับชาวออสเตรเลีย ที่เป็นพลเมืองหรือถือวีซ่า PR อยู่ เราเองก็สามารถขอ Partner Visa ได้ ไม่ว่าจะในฐานะคู่หมั้นหรือคู่สมรส หรือจะวีซ่านักลงทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในวีซ่าที่สามารถอยู่ในออสเตรเลียได้ระยะยาว


เส้นทาง PR แต่ละเส้นทางอาจมีข้อกำหนดเฉพาะ ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและทำความเข้าใจเกณฑ์วีซ่าเฉพาะเจาะจงที่สมัคร ง่ายที่สุดคือการปรึกษาทนายผู้เชี่ยวชาญ หรือปรึกษาตัวแทนด้านการย้ายถิ่นฐาน เพราจะช่วยวางแผนเส้นทาง รวมไปถึงอัพเดทกฎและเงื่อนไขการสมัครในแต่ละปี เพื่อให้ขั้นตอนในการดำเนินการราบรื่นยิ่งขึ้น


อ้างถึง
https://liveinmelbourne.vic.gov.au
https://immi.homeaffairs.gov.au/visas/permanent-resident/visa-options
www.aussizzgroup.com
www.hotcourses.in.th

6



แม้ว่าชาวออสซี่จะดูเป็นคนใช้ชีวิตสบายๆ แต่ก็มีธรรเนียม หรือวัฒนธรรมบางอย่าง ที่ชาวต่างชาติควรศึกษา ไม่ว่าจะมาเพื่อท่องเที่ยวหรือมาอยู่ระยะยาว เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับผู้คนรวมไปถึงสร้างปฎิสัมพันธ์ที่ดีร่วมกับสังคมชาวออสเตรเลียให้มากยิ่งขึ้น 
แต่ขอเน้นย้ำว่า นี่เป็นเพียงการแนะนำพื้นฐานทั่วไปในสังคมส่วนใหญ่ เกี่ยวกับวัฒนธรรมและผู้คนของออสเตรเลีย ไม่สามารถอธิบายถึงความหลากหลายภายในของสังคมออสเตรเลียได้ และไม่ได้เหมารวมว่าคนออสเตรเลียทั้งหมด ที่คุณอาจพบเจอจะมีลักษณะนิสัยเหมือนกันตามบทความนี้


การสร้างบทสนทนา



Photo by unsplash.com


      ชาวออสซี่ล้วนเฟรนด์ลี่และสบายๆ เมื่อพบปะเพื่อนฝูง หรือชอบยิ้ม ทักทายคนแปลกหน้าที่เดินผ่าน การทักทายพื้นฐานจะเป็นรูปแบบตะวันตก คือการจับมือ สบตา และแนะนำตัวด้วยชื่อจริงหรือชื่อเล่นที่สะดวกให้เรียก โดยไม่มีการแบ่งแยกตามความอาวุโส คำพูดทักทายทั่วไป ชาวออสซี่จะใช้วลี “G’day” , “G’day mate” หรือ “How’s it going?” ถ้าเปรียบเทียบกันก็เหมือนคำว่า “How are you?” หรือ “สบายดีมั้ย เป็นอย่างไรบ้าง” ในสไตล์อเมริกันนั่นเอง ส่วนประโยคที่ทักตอบกลับคือ “I’m good, thanks.” ตามปกติ ระหว่างการพูดคุย หากเป็นการข้อร้องให้ทำอะไรสักอย่าง อย่าลืมที่จะแสดงออกถึงความสุภาพด้วยคำว่า “Please” หรือ “Thank you” ต่อท้าย ระหว่างการพูดคุยกับชาวออสซี่ มีโอกาสที่จะได้ยินแสลงต่างๆหลุดออกมาบ่อยครั้ง รวมถึงการเล่นมุขตลกหรือสร้างเสียงหัวเราะ คือสิ่งที่ชาวออสซี่ชื่นชอบ ซึ่งคล้ายคลึงกับบรรยากาศการสนทนาของคนไทย ที่ไม่ใช่การล้อเลียนหรือบูลลี่ผู้อื่น แต่พยายามผ่อนคลายและสร้างความเป็นกันเองระหว่างการพูดคุย บรรยากาศเหล่านี้ช่วยทำให้สร้างความสัมพันธ์ได้ดีมากยิ่งขึ้นในระยะยาว


เพื่อสร้างความคุ้นเคยกับเพื่อนใหม่หรือเพื่อนร่วมงาน ด้วยการสร้างบทสนทนาสั้นๆ จะช่วยละลายพฤติกรรมได้ หัวข้อพื้นฐานอันได้แก่ สภาพอากาศ, กีฬา (ใช่ คนออสเตรเลียชื่นชอบ), กิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นใกล้ๆ (หากมี) โดยหลีกเลี่ยงหัวข้อที่มีความละเอียดอ่อน เช่น การเมือง, เชื้อชาติ, ศาสนา


สิ่งที่พึงรู้ : ประเทศออสเตรเลียมีความหลากหลายทางด้านเชื้อชาติและศาสนาค่อนข้างสูง ชาวออสเตรเลียมีเสรีภาพในการนับถือศาสนา แต่อย่างไรก็ดี ปัจจุบันศาสนาคริสต์เป็นศาสนาที่โดดเด่นที่สุดในออสเตรเลีย เกิดจากการเผยแพร่โดยผู้ตั้งถิ่นฐานชาวอังกฤษในช่วงอาณานิคม ถึงแม้ว่าจะคุณนับถือศาสนาแตกต่างกันหรือไม่ก็ตาม ชาวออสเตรเลียมักจะหลีกเลี่ยงการแสดงตนด้านศาสนา เช่นการพูดถึงพระเจ้าในบทสนทนา คุณจึงไม่ควรล้อเลียนหรือแตะต้องความเชื่อส่วนบุคคล เพื่อรักษาความแตกต่างระหว่างชีวิตส่วนตัวและชีวิตสาธารณะ


ธรรมเนียมการนัดหมาย



Photo by unsplash.com


      การตรงต่อเวลาคือสิ่งสำคัญมากในสังคมออสเตรเลียโดยเฉพาะนัดหมายทางการ เพราะอาจส่งผลกระทบในหลายๆอย่าง ยกตัวอย่างเช่น หากคุณนัดหมายกันที่ร้านอาหาร การที่คุณมาสายจะทำให้ผู้คนจะรอให้คุณสั่งอาหาร หรือหากคุณคิดว่าจะมาสายเกิน 15 นาที  จำเป็นต้องแจ้งเพื่อนร่วมโต๊ะของคุณโดยตรง

ส่วนมากชาวออสเตรเลียมักนัดหมายจัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกันในวันหยุด โดยเรียกกันว่า “Barbie” เป็นมื้ออาหารแบบไม่เป็นทางการจัดบนพื้นที่กลางแจ้ง เช่น ระเบียง ลานบ้าน หรือในสวนสาธารณะ จะเป็นการเชิญหลายคน บางครั้งแขกไม่ควรจะไปถึงก่อนเวลามากนัก หรือจะไปถึงหลังเวลานัดหมายได้เล็กน้อย แต่อย่าลืมที่จะต้องเตรียมอาหารไปด้วย โดยเฉพาะเครื่องเคียงต่างๆที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ (เพราะเจ้าบ้านจะจัดการ) เช่น สลัดผักสด, ขนมกรุบกรอบ, ขนมปัง ฯลฯ โดยเรียกธรรมเนียมนี้ว่า “bringing a plate” รวมไปถึงเครื่องดื่มอัดลมหรือเครื่องดื่มแอลกฮอล์ก็สามารถนำไปได้เช่นกัน


ธรรมเนียมการมอบของขวัญ



Photo by unsplash.com


      โดยปกติผู้คนจะให้ของขวัญในโอกาสพิเศษเท่านั้น (เช่น วันเกิด, วันคริสต์มาส) และมักจะเปิดของขวัญต่อหน้าผู้ให้ ไม่ว่าจะได้รับแล้วหรือเปิดภายหลังพร้อมกับของขวัญอื่นๆ สิ่งที่ให้กัน ไม่จำเป็นต้องเป็นของมูลค่าสูงแต่อาจมีคุณค่าทางใจ เช่น ของที่ชอบทาน, สินค้าที่ตรงกับความสนใจของผู้รับ

อีกโอกาสที่ต้องเตรียมของขวัญ คือการไปเยี่ยมเยือนบ้านผู้อื่น ทั้งโอกาสขึ้นบ้านใหม่หรือนัดทานอาหารร่วมกันที่บ้าน เพื่อพบปะสนทนากัน อย่าลืมที่จะนำอาหารและเครื่องดื่ม เช่น ไวน์สักขวด, เบียร์สักหนึ่งแพ็ค หรือช็อคโกแลตสักกล่อง รวมถึงของขวัญแต่งบ้านเล็กๆน้อยๆ ติดไม้ติดมือไปด้วย แต่ก็ไม่ควรมากจนเกินไป เพราะจะกลายเป็นการสร้างความรู้สึกอึดอัดและยิ่งใหญ่จนเกินไป เว้นเสียแต่การนัดหมายมาที่บ้านเพื่อเฉลิมฉลองแทน


วัฒนกรรมการทำงาน



Photo by unsplash.com


      หากพูดถึงการทำงานร่วมกับชาวออสซี่ ผู้คนมักจะมองว่าต้องสบายๆเหมือนไลฟ์สไตล์และนิสัยในชีวิตประจำวัน แต่แท้จริงแล้วนั้นตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ในเวลางานผู้คนที่นี่ให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก และประสิทธิภาพการทำงาน ผ่านชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่น ชาวออสเตรเลียตั้งเป้าที่จะทำสิ่งต่างๆในช่วงเวลาทำงานให้ดีที่สุด เพราะยิ่งทำงานเสร็จเร็วเท่าไร ก็ยิ่งกลับบ้านเร็วเท่านั้น ชาวออสซี่จะแบ่งแยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวค่อนข้างชัดเจน โดยมักจะเลิกงานตรงตามเวลา เพื่อได้ใช้เวลากับครอบครัวที่บ้าน หรือเพื่อตัวเอง ดังนั้นเวลาและการตั้งเป้าหมายงานจึงเป็นเรื่องสำคัญ การประชุมหรือการทำงานร่วมกับชาวออสซี่นั้นต้องกระชับ และตรงประเด็น

หากเป็นการทำงานบริษัท เวลาเข้างานของออสเตรเลียจะเช้าตรู่กว่าที่อื่นๆ กล่าวคือถ้าในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเข้างานประมาณ 9.00 น. แต่ถ้าในออสเตรเลียจะอยู่ที่ประมาณ 8.00-8.30 น. จึงทำให้ธุรกิจร้านกาแฟที่นี่ต้องเปิดทำการตั้งแต่ 6-7 โมงเช้าเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเวลาพักค่อนข้างยืดหยุ่น ในที่ทำงานบางแห่งไม่มีการกำหนดเวลาพักกลางวัน ผู้คนสามารถออกไปรับประทานอาหารกลางวันในเวลาที่เหมาะสมที่สุด รวมถึงการพักดื่มกาแฟในช่วงสั้นๆ เนื่องจากชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นแบบนี้ ช่วยให้ผู้คนออกไปดื่มกาแฟได้ทุกเมื่อตามที่ต้องการ จะเห็นว่าไม่ว่าจะกี่โมง ก็จะเจอคนทำงาน ออกมาทานกาแฟ นั่งพูดคุยกัน กาแฟจึงกลายเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรมในที่ทำงานในออสเตรเลีย

หากพูดถึงการแสดงความเคารพต่อตำแหน่งงานหรือลำดับชั้นของผู้ร่วมงาน ชาวออสเตรเลียไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก พนักงานจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน รวมถึงแนวคิดการให้ความสำคัญต่อทีมมาอันดับแรก มากกว่าทำเพื่อบุคคลระดับสูง จึงทำให้บรรยากาศการทำงานค่อนข้างผ่อนคลาย รวมถึงการแข่งขันภายในที่น้อย เมื่อเปรียบเทียบกับวัฒนธรรมองค์กรในประเทศอื่น


เมื่อออกไปท่องเที่ยวในประเทศ



Photo by unsplash.com


      ประเทศออสเตรเลียมีแหล่งท่องเที่ยวจำนวนมาก โดยเฉพาะแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นเกาะ, ชายหาด หรือแคมป์ปิ้งตามป่าเขา แมทช์กับไลฟ์สไตล์ชาวออสซี่จะเป็นคนกระฉับกระเฉง รักการทำกิจกรรมกลางแจ้ง ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านี้ เป็นจุดหมายของการพักผ่อนในวันหยุด ชาวออสเตรเลียมีความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมและความสมดุลทางธรรมชาติค่อนข้างมาก อย่าลืมที่จะระมัดระวังตัวเองให้ไม่ไปทำลายสิ่งแวดล้อม รักษาความสะอาด รวมถึงจัดการขยะอย่างเหมาะสม

เมื่อต้องไปร้านอาหาร มารยาทการรับประทานอาหารบนโต๊ะก็สำคัญ อุปกรณ์ที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นมีดและส้อม เมื่อคุณทานอาหารเสร็จแล้ว ให้วางมีดและส้อมลงบนจานพร้อมกัน ต่อมาคือการให้ทิป ที่มันเป็นเรื่องปกติโดยเฉพาะประเทศตะวันตก แต่ออสเตรเลียไม่ใช่หนึ่งในนั้น อย่างที่ทราบกันดีว่าค่าแรงเฉลี่ยของประเทศค่อนข้างสูงอันดับโลก ไม่ว่าพนักงานโรงแรม, คนขับรถแท็กซี่ หรือผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมการบริการ จึงไม่ค่อยพึ่งพาทิปสักเท่าไหร่ เว้นเสียแต่มีขวดทิป ก็สามารถนำเงินทอนที่ได้ใส่ลงไปแทน

อีกสิ่งที่สำคัญ หากมีโอกาสได้เดินทางไปยังชุมชนที่มีชาวพื้นเมืองดั้งเดิม ที่มีชาวอะบอริจินอาศัย อย่าลืมที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมเพิ่มเติม และแสดงความเคารพต่อชนชาติเหล่านี้ เพราะเป็นกลุ่มคนที่รับผลกระทบรุนแรงในอดีต มีความอ่อนไหวทางด้านวัฒนธรรมค่อนข้างมาก มีพฤติกรรมบางอย่างที่แตกต่างจากมารยาททั่วไปแบบออสซี่ เช่น การสบตากับผู้คนโดยตรง ถือเป็นการแสดงออกที่ไม่สุภาพ ฯลฯ อย่าลืมที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมพื้นเมือง ก่อนเข้าไปเยือนภายในชุมชน



โดยทั่วไปแล้ว มารยาทของชาวออสเตรเลียกับคนไทยนั้นไม่ค่อยแตกต่างกันมากนัก มีความเป็นกันเอง สนุกสนาน โดยเฉพาะความใจกว้างและการให้อภัยความแตกต่างทางวัฒนธรรม เมื่อเผลอทำอะไรที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งผู้คนที่นี่ปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นเศรษฐีเจ้าของคฤหาสถ์หรือจะเป็นพนักงานเสิร์ฟ การให้เกียรติและความเคารพต่อผู้อื่น จะช่วยสร้างสังคมที่ดีได้อย่างมาก ไม่ว่าจะที่ออสเตรเลียหรือประเทศอื่นๆ



อ้างถึง
madmonkeyhostels.com
culturalatlas.sbs.com.au
www.commisceo-global.com
www.greatmanagers.com.au
www.thetravel.com

7



      การอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด อะไรๆก็ไม่เหมือนกับบ้านเรา ไม่ว่าจะสภาพอากาศ อาหารการกิน รวมไปถึงภาษาที่พูดคุยกัน หลายคนต่างเลือกมาใช้ชีวิตในออสเตรเลียเพื่อศึกษาต่อ ทำงาน หรือสร้างครอบครัวที่นี่ มีหลายอย่างที่เราต้องปรับตัว ทั้งด้านความเป็นอยู่ โดยเฉพาะทักษะใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้จากความจำเป็น หรือความไม่ตั้งใจก็ตาม มาดูกันว่า คุณจะได้ทักษะอะไรเมื่อย้ายมาออสเตรเลีย เผื่อติดไม้ติดมือ กลับไปแชร์ครอบครัวและเพื่อนๆที่บ้านได้


ทักษะการสื่อสาร พร้อมสำเนียงอันหลากหลายจากเพื่อนต่างชาติ


Photo by unsplash.com


      เป็นเรื่องปกติที่เวลาเดินไปไหนมาไหน โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ คุณจะสามารถได้ยินมากกว่าภาษาอังกฤษเสมอ เพราะที่นี่ต้อนรับความหลากหลายทางเชื้อชาติ ใครที่มาเรียนหรือใช้ชีวิตที่ออสเตรเลีย จะได้รู้จักเพื่อนชาวต่างชาติมากมายจากทั่วทุกมุมโลก ไม่ว่าจะเป็น จีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน บราซิล โคลัมเบีย ฯลฯ รวมไปถึงการได้มาทำงานที่ออสเตรเลีย โดยเฉพาะผู้ถือวีซ่า WAH หรือ Work and Holiday ก็มีโอกาสที่เจอชาวต่างชาติ มาหาประสบการณ์ด้วยเช่นกัน หากคุณได้สนิทกับเพื่อนชาวต่างชาติมากขึ้น นอกจากจะได้สื่อสารภาษาอังกฤษที่เป็นภาษากลางแล้ว ยังมีโอกาสที่ได้แลกเปลี่ยนภาษาท้องถิ่นกัน รวมถึงศัพท์แสลงออสซี่ที่หลุดออกมาจากคู่สนทนาอีกด้วย อย่าลืมที่จะสอนภาษาไทยง่ายๆให้กัน เผื่อมีโอกาสได้มาเที่ยวประเทศไทยในอนาคต

ถึงแม้ว่าเพื่อนต่างชาติในบางประเทศ จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่อยู่แล้ว แต่สิ่งที่จะได้มากกว่าคลังศัพท์ นั่นคือสำเนียงของแต่ละชนชาติ ถึงจะฟังยากบ้างฟังง่ายบ้าง แต่ถ้าได้ฟังบ่อยๆ ก็ทำให้พัฒนาทักษะการฟังได้ดีเช่นกัน รวมถึงวัฒนธรรมท้องถิ่นในแต่ละชนชาติเองก็มีความแตกต่าง การแชร์เรื่องราวในแต่ละพื้นที่ เปรียบเสมือนการเรียนรู้ความแตกต่างที่ได้มากกว่าแค่ภาษา


ทักษะกิจกรรมทางน้ำ


Photo by unsplash.com


      เพราะเมื่อไหร่ที่มีวันว่าง ครอบครัวและเพื่อนฝูงชาวออสซี่ มักชื่นชอบการออกไปท่องเที่ยวนอกตัวเมือง ไปสัมผัสสายลม แสงแดด มากกว่าการเดินเล่นในห้างฯรับแอร์เย็น และจุดหมายยอมนิยมนั่นคือการไปทะเล ชายหาด และเกาะ หากใกล้ตัวเมืองบริสเบน คงต้องที่ Gold Coast เมืองเล็กๆที่เพียบพร้อมไปด้วยร้านค้า ชายหาด สวนสนุก พร้อมกิจกรรมทางน้ำมากมาย หรือจะเป็นเกาะ North Stradbroke ที่เดินทางได้ง่ายด้วยรถสาธารณะและสามารถค้างคืนได้

ถึงแม้ว่าจะคุ้นเคยกับลักษณะชายหาดทางภาคใต้ของไทยเป็นอย่างดี แต่ขอบอกเลยว่าเทียบไม่ติดกับทะเลและชายหาดในออสเตรเลีย อันดับแรกเลยคือความเย็นยะเยือกของน้ำทะเล ที่แสนขัดแย้งกับอุณหภูมิแสงแดดตรงหน้า ต่อมาคือความแรงของคลื่น ที่นี่สามารถซัดคุณให้ปลิวขึ้นฝั่ง แถมพร้อมกับอาหารมึนหัว และสุดท้ายคือความอันตรายใต้น้ำที่มองไม่เห็น แถมอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากชายฝั่ง เช่น ฉลาม การมองหาพื้นที่ธงเหลือง-แดง คือสิ่งแรกที่ต้องมองหาเมื่อมาเยือนชายหาดในออสเตรเลีย และนี่เองคงเป็นสเน่ห์ที่ชาวออสซี่ต่างชื่นชอบ จะสังเกตว่าบางครอบครัวพาเด็กลงเล่นน้ำตั้งแต่เล็กๆ เป็นการสร้างความคุ้นเคยและความแข็งแรงของร่างกายตั้งแต่ช่วงร่างกายกำลังเติบโต หรือถ้าไม่ลงน้ำ ก็จะขึ้นมาอาบแดด นอนกันเรียงรายหรือจะหากิจกรรมทำริมชายหาดในช่วงหน้าร้อน


นอกจากกิจกรรมทางน้ำที่มากกว่าแค่ว่ายน้ำลงทะเลแล้ว ยังมีโรงเรียนสอน Surfing พร้อมกระดานโต้คลื่น ที่ถึงแม้ว่าจะไม่มีพื้นฐานมาก่อน ก็สามารถร่วมกิจกรรมได้ ลองเล่นไปสักครึ่งวัน ครั้งต่อไปคว้า Surfboard วิ่งลงทะเลได้เหมือนชาวออสซี่ได้เลย นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมอีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Surfing ด้วย Bodyboard ที่โต้คลื่นด้วยร่างกาย จนไปถึงการเรียนดำน้ำ ชมความสวยงามโลกใต้ทะเลที่ Great Barrier Reef ก็ยังมี อย่ามัวแต่เพลิดเพลิน จนลืมทาครีมกันแดดปกป้องผิวล่ะ


ทักษะการท่องเที่ยวป่าและธรรมชาติ


Photo by unsplash.com


      ต่อเนื่องจากข้อก่อนหน้า อีกหนึ่งจุดหมายของการท่องเที่ยว นั่นคือการเข้าป่า ทั้งแบบเช้าไปเย็นกลับหรือจะค้างคืน แคมป์ปิ้งกันอย่างจริงจัง เช่นที่ Lamington National Park, Springbrook National Park หรือจะ Mt. Barney National Park เพราะอุทยานหลายแห่งรอบตัวเมือง คุณสามารถเดินทางด้วยรถยนต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง ก็สามารถสัมผัสความสดชื่นของป่าเขาได้ แต่ละแห่งเองก็มีเส้นทางเดินป่าให้เลือก ทั้งทางเดินเรียบไม่กี่กิโลเมตร หรือจะปีนขึ้นยอดเขาชมวิวมุมสูง ซึ่งแต่ละอุทยานจะมีพื้นที่ลานกว้าง (Campground) สำหรับการตั้งเต็นท์นอน พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้มาค้างคืน จุด Campground ยอดนิยม เช่นที่ Lake Moogerah และ Bribie Island ฯลฯ ซึ่งแต่ละที่มั่นใจได้ว่า สะดวก สะอาด และปลอดภัย หากมีเพื่อนๆไปด้วยกันหลายคน ก็ยิ่งทำให้ทริปนี้สนุกยิ่งกว่าเดิม

เคล็ดลับที่ต้องจำไว้ ก่อนที่คุณจะออกเดินทางผจญภัยแคมป์ปิ้ง นั่นคืออย่าลืมจองที่ตั้งแคมป์ก่อนเยี่ยมชม คุณยังอาจต้องมีใบอนุญาตเข้าถึงยานพาหนะ เพื่อเข้าถึงที่ตั้งแคมป์บางแห่ง ตรวจสอบ จอง และอัพเดทประกาศอื่นๆ ผ่านทางเว็บไซด์อุทยานสำหรับข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ https://parks.des.qld.gov.au/camping การสัมผัสถึงความร่มรื่นของธรรมชาติ เป็นเหมือนการชาร์ตพลังงานดีๆให้กับร่างกาย อีกทั้งยังทำให้จิตใจสงบ แถมยังได้เรียนรู้ความเป็นไปของสิ่งแวดล้อมรอบตัว ก็ทำให้รักธรรมชาติมากกว่าเดิม


ทักษะการทำอาหาร


Photo by unsplash.com


      หากไม่นับอาหารฟรี ที่ได้จากร้านที่ทำงานละก็ ในวันปกติทั่วไป การดำรงชีวิตด้วยอาหารคือสิ่งจำเป็น แต่จะให้ออกไปทานตามร้านเหมือนอยู่ไทยก็คงหมดตัวกันพอดี ดังนั้นทักษะที่จำเป็น เมื่อต้องมาอยู่ที่นี่ นั่นก็คือ การทำอาหาร ข้อดีของประเทศออสเตรเลีย โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ๆ คือวัตถุดิบอาหารที่เข้าถึงได้ง่ายและหลากหลาย โดยเฉพาะวัตถุดิบและเครื่องปรุงจากเอเชีย รวมไปถึงวัตถุดิบไทยแบบสำเร็จรูป อย่างเครื่องแกงและอาหารกึ่งสำเร็จรูป ที่ช่วยชีวิตมาได้หลายครั้ง วัตถุดิบพวกนี้สามารถทำทานเองได้ง่าย แถมช่วยแก้กำเริบอาหารคิดถึงบ้านได้

หรือบางคนมีทักษะพื้นฐานอยู่แล้ว ก็สามารถพัฒนาตัวเอง จนสามารถทำเมนูอาหารไทยจานพิเศษ แบบไม่เคยทำทานเองที่ไทย (เพราะหาซื้อง่ายกว่า) เรียกได้ว่าเป็นการได้สกิลทำอาหารแบบไม่ได้ตั้งใจ


ทักษะการเล่นกีฬา (หรือดูกีฬา)


Photo by freepik.com


      มีไม่กี่ประเทศในโลกที่สามารถพูดได้ว่า กีฬาคือหนึ่งสิ่งที่อยู่ในสายเลือดของชาวออสซี่ คนที่นี่ยอมรับว่ากีฬาเป็นส่วนสำคัญของวัฒนธรรม จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมปฏิทินในออสเตรเลีย จึงเต็มไปด้วยกิจกรรมกีฬาตลอดทั้งปี ทุกครั้งที่มีเกมส์กีฬา ชาวออสซี่มักจะใช้เวลากับเพื่อนฝูงและครอบครัวไปกับการเชียร์กีฬาในวันหยุด ที่ออสเตรเลียยังมีหลายกีฬาที่ยอดนิยม ที่แม้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักในเมืองไทย อย่างเช่น Cricket , Footy ที่ไม่ใช่ Football แต่ลักษณะคล้ายกับรักบี้, การแข่งวิ่งม้าเร็ว หรือกีฬาสุดแปลกอย่างการแข่งขันวิ่งอูฐ

ในแต่จะฤดูกาล ออสเตรเลียจะมีอีเว้นท์กีฬา หมุนเวียนกันตลอดทั้งปี เริ่มต้นปีใหม่ด้วย Australian Open การแข่งขันเทนนิสที่เชิญนักแข่งระดับโลกมาปะทะฝีมือ, Formula 1 Rolex Australian Grand Prix แข่งขันความเร็วด้วยรถแข่งระดับ Formula 1, World Surfing Championship งานแข่งขัน Surfing โล้คลื่นระดับโลก บ่อยครั้งที่ออสเตรเลีย ได้ถูกเชิญให้เป็นเจ้าภาพการจัดงานแข่ง และยังมีอีกสองของแข่งระดับประเทศอย่าง Melbourne Cup งานแข่งขันม้าเร็วที่จัดขึ้นมาอย่างยาวนาน งานที่ผู้เข้าชมต้องแต่งตัวให้เหมาะสม ด้วยชุดสูทและเดรสหรูหรา พร้อมเครื่องผมสุดอลังการ เพราะเป็นงานที่เชิญคนดังจากทุกแวดวง มาชมการแข่งขัน และงาน AFL หรือ Australian Football League คือการแข่ง Footy ระดับประเทศ โดยวันแข่งชิงชนะเลิศหรือ Grand Final ในรัฐ Victoria ประกาศให้เป็นวันหยุด Public Holiday เพื่อให้ชาวเมืองอยู่บ้าน ชมการแข่งขันได้อย่างเต็มที่

และยังมีกีฬาอีกมากมายทั้งปี ที่ชาวออสเตรเลียให้ความสนใจไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็น การแข่งขันเรือใบ Sydney to Hobart Yacht Race , งานแข่งรถยนต์ Bathurst 1000 อีกทั้งในปี 2032 บริสเบนจะได้เป็นเจ้าภาพงานกีฬาโอลิมปิกโลกอีกด้วย มารอดูกันว่าในช่วงนั้น ชาวออสซี่จะมีผลตอบรับกันอย่างไร อาจจะได้มีวันหยุดงาน เพื่อเชียร์กีฬาเลยก็เป็นไปได้


ทักษะการเป็นมิตรกับผู้คน


Photo by freepik.com


      ไม่เชิงเป็นทักษะในการเป็นอยู่ซะทีเดียว แต่เป็นไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของชาวออสซี่ แม้ว่าจะอาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ จะสังเกตว่าชาวออสเตรเลียมักจะมีทัศนคติที่ผ่อนคลาย สบายๆ แต่แฝงด้วยความสุภาพ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นจากท่าทางที่เป็นมิตร ทำให้การพูดคุยกับคนแปลกหน้า จึงเป็นเรื่องปกติที่อาจพบเจอได้ ชาวออสซี่ส่วนใหญ่สนุกกับการใช้ชีวิต ชอบการพูดคุย พบปะเพื่อนฝูง จะเห็นได้ชัดในวันหยุดที่ตามร้านคาเฟ่และร้านอาหาร จะเต็มไปด้วยชาวออสเตรเลียออกมาเอนจอย เดินเล่น พักผ่อนกัน ซึ่งสิ่งนี้เองทำให้เกิด Café Culture หรือวัฒนธรรมคาเฟ่ในเมืองใหญ่อย่างในเมลเบิร์น หรือเป็นธรรมเนียมการทำ Barbie หรือ BBQ ตามสวนสาธารณะหรือสวนหลังบ้าน กับเพื่อนและครอบครัว โดยเฉพาะในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เพราะชาวออสซี่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตกับการทำงาน ไม่แปลกใจถ้าในช่วงแรกจะรู้สึกไม่ชินกับความชิลของชาวออสเตรเลีย แต่ถ้าเมื่อคุณได้มาสัมผัสการใช้ชีวิตของเค้าสักพัก จะเข้าใจและกล้าที่จะยิ้มทักทาย พูดคุยกับชาวออสซี่แปลกหน้าได้อย่างสบายใจ


นี่คือทักษะเพียงไม่กี่อย่าง ที่คุณจะได้มากกว่าแค่ภาษาสอง เมื่อได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตในประเทศออสเตรเลีย และยังมีอีกหลายอย่าง ที่หาไม่ได้ถ้าใช้ชีวิตในประเทศไทย เปรียบเหมือนการลงเรียนวิชาชีวิต ด้วยการท้าทายกับสิ่งใหม่ๆ ที่ต้องเรียนรู้ในต่างแดน แต่ละคนได้เรียนรู้อะไรมากกว่านี้ อย่าลืมแชร์กันด้วยล่ะ

8


      ผ่านพ้นไปไม่นาน สำหรับฤดูกาลกดโควต้าวีซ่า Work and Holiday (WAH) ประจำปี 2023 ในทุกปี ประเทศออสเตรเลียจะเปิดรับคนไทยจำนวน 2,000​ คน ที่มีอายุตั้งแต่ 18 จนถึง 30 ​ปี มาทำงานและท่องเที่ยวอย่างถูกกฎหมายเป็นเวลา 1 ปี เป็นวีซ่าที่เปิดโอกาสให้ใครที่อยากใช้ชีวิตในต่างประเทศนานกว่าท่องเที่ยวปกติ ได้มาเรียนรู้ในประเทศที่มีความหลากหลายทั้งผู้คนและวัฒนธรรม ในส่วนของขั้นตอนและเงื่อนไขต่างๆของวีซ่าประเภทนี้ วันนี้ผู้เขียนอาจจะไม่ได้เจาะลงลึกในบทความนี้ แต่สำหรับใครที่มีวีซ่าอยู่ในมือเรียบร้อยแล้ว และกำลังจะวางแผนหางานทำในประเทศโดยเฉพาะงานฟาร์ม หรือใครที่มีแผนที่จะกดในปีหน้า อย่าพลาดที่จะมาอ่านบทความนี้



Photo by freepik.com


ทำไมต้องงานฟาร์ม?

      วีซ่าประเภทนี้เปิดโอกาสสำหรับเยาวชนไทยเข้ามาทำงานได้อย่างถูกต้อง ซึ่งงานส่วนใหญ่ที่มองหาเยาวชนต่างชาติ มักจะเป็นงานบริการ ไม่ว่าจะตามร้านอาหาร, โรงแรม หรือร้านนวด รวมไปถึงงานในฟาร์ม เช่น งานเก็บผลไม้, งานแพ็กสินค้าในโรงงาน เป็นต้น  ถึงแม้ว่าจะใช้กำลังกายและกำลังใจอย่างมาก แต่งานฟาร์มไม่จำเป็นต้องใช้ทักษะทางด้านภาษาหรือวุฒิการศึกษา ก็ได้มาซึ่งรายได้ ประสบการณ์การท่องเที่ยวที่หาที่ไหนไม่ได้ ซึ่งไม่ได้เป็นงานที่มีแค่คนไทยสนใจเพียงอย่างเดียว แต่เป็นงานที่วัยรุ่น Backpacker ต่างชาติ เข้ามาหาโอกาสทำงานเช่นกัน และถ้าทำงานครบ 88 วันแล้ว ยังสามารถยื่นเรื่องเพื่อขอต่อวีซ่าได้อีกด้วยนะ

ในปัจจุบันมีฟาร์มมากถึง 3,200 แห่งในควีนส์แลนด์ โดยทั่วไปแล้วฟาร์มแต่ละแห่งต้องการคนจำนวนจำกัดเพื่อช่วยในการเก็บเกี่ยวตามช่วงฤดูผลผลิต สิ่งที่เราเข้าไปทำนอกจากแรงงานคนเพื่อเก็บผลผลิต, เตรียมดิน, หว่าน, กำจัดวัชพืชแล้ว อาจต้องใช้แรงเครื่องจักรเพื่องานการเกษตร เช่น หัวตัดหรือการขับรถแทรกเตอร์และรถบรรทุก สำหรับงานในโรงงานโดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องมีประสบการณ์มาก่อน ฟาร์มจะจัดเตรียมโปรแกรมการฝึกอบรมของตนเองอยู่แล้ว งานนี้ส่วนใหญ่เป็นงานทางกายภาพ และต้องทำกลางแจ้งในสภาพอากาศร้อน และเต็มไปด้วยฝุ่น ดังนั้นผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างหอบหืดหรือแพ้ฝุ่น อาจไม่เหมาะกับงานประเภทนี้


Photo by gostudy.com.au


เริ่มต้นงานฟาร์มที่ไหนดี

      เรามาทำความรู้จักพื้นที่เกษตรกรรมกันก่อน ในควีนส์แลนด์มีอยู่ 4 ภูมิภาคหลัก ได้แก่ Central Highlands, Wide Bay-Burnett, Darling Downs และ South West ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในภาคกลางและภาคใต้ของรัฐ ทั้ง 4 ภูมิภาค สามารถเก็บผลผลิตทั้งในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน พืชพันธุ์หลักที่เกิดผลผลิตในหน้าหนาว อันได้แก่ ข้าวสาลี, ข้าวบาร์เลย์, ข้าวโอ๊ต และถั่วลูกไก่ (chickpeas) ส่วน ข้าวฟ่างและข้าวโพด ขึ้นได้ดีในช่วงหน้าร้อน ซึ่งพื้นที่บริเวณ Darling Downs และ South West เป็นพื้นที่ที่มีความต้องการแรงงานทั้งปี แต่ยังไม่พีคเท่า Central Highlands ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงพฤษภาคม เป็นช่วงเก็บเกี่ยวเยอะที่สุดของปีเลย ส่วนช่วงเดือนมิถุนายนถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นหน้าหนาว ฟาร์มยังไม่เป็นที่ต้องการแรงงานมากเท่าที่ควร อย่างน้อยศึกษาช่วงเดือนฤดูกาล จะสามารถช่วยวางแผนการหางานฟาร์มได้

แน่นอนว่างานฟาร์มไม่ได้จำกัดแค่ในควีนส์แลนด์เพียงอย่างเดียว ในช่วง 1 ปีที่เราถือวีซ่านี้ เราสามารถย้ายไปทำงานฟาร์มยังรัฐอื่นๆตามช่วงฤดูกาลเหมาะสม อย่างในช่วงเดือนธันวาคม-เมษายน ต้องไปที่ New South Wales ส่วนรัฐ Western Australia ที่นอกจากงานฟาร์มที่ต้องการในช่วงเมษายน-กันยายนแล้ว ยังมีงานประมง, โรงกลั่นเหล้าองุ่น ซึ่งมีงานให้ทำตลอดทั้งปี ส่วน Victoria และ South Australia พีคสุดๆคือช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เมษายน เป็นต้น



Photo by thecrazytourist.com


เมืองยอดนิยมสำหรับงานฟาร์ม เมืองแรกที่แนะนำคือ Bundaberg เมืองที่ตั้งอยู่ทางตอนกลางของรัฐ ที่มีการปลูกผักผลไม้เป็นจำนวนมาก แถมยังมีผลผลิตให้เก็บแทบทั้งปี เมืองอยู่ห่างจากบริสเบนไปทางเหนือ 360 กิโลเมตรบนแม่น้ำ Burnett และห่างจากชายฝั่งเพียง 14 กิโลเมตร เป็นเมืองในเขตกึ่งเขตร้อนซึ่งมีฝนตกชุก และอุณหภูมิฤดูร้อนเฉลี่ยในแต่ละวันจะแตกต่างกันระหว่าง 20–30°C  Bundaberg เป็นย่านพืชสวนที่สำคัญและเป็นที่รู้จักในด้านการผลิตเหล้ารัมที่มีชื่อเสียง ที่เราอาจจะคุ้นกับชื่อยี่ห้อเครื่องดื่มจากชื่อเมืองนี้ ช่วงเดือนที่พีคสุดๆ อันได้แก่ช่วงเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ซึ่งเป็นช่วงเก็บเกี่ยวสตรอว์เบอร์รีและผักบางประเภท และช่วงเดือนมกราคมสำหรับการเก็บเกี่ยวมะม่วง

สถานที่ท่องเที่ยวในเมือง ได้แก่การไปตระเวนชิมเครื่องดื่ม และเรียนรู้กระบวนการทำในโรงกลั่นแท้ๆ ในโรงเบียร์ประจำเมือง Bundaberg Rum Distillery, Bundaberg Brewed Drinks หรือใครสายเที่ยวธรรมชาติ ต้องเกาะ Lady Elliott Island, Lady Musgrave Island National Park ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ Great Barrier Reef และ Barolin Nature Reserve สำหรับการเดินและปั่นจักรยานท่ามกลางต้นไม้อันร่มรื่น

อีกเมืองที่ยอดนิยมไม่แพ้กัน Bowen เมืองชายฝั่งที่มีชื่อเสียงด้านการผลิตมะเขือเทศ ผัก และมะม่วงที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้เป็นศูนย์กลางการเกษตรที่สำคัญของภูมิภาค แถมยังมีท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ที่ Port Denison ที่ใช้ในการขนถ่ายถ่านหิน เกลือ และปลาเพื่อการส่งออก ช่วงฤดูเก็บเกี่ยวมะเขือเทศที่พีคสุดๆ ต้องช่วงเดือนกรกฎาคมถึงตุลาคม แต่ช่วงกลางปีตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงสิ้นปี ก็ยังมีเป็นต้องการสำหรับการเกี่ยวกับพืชผักเช่นกัน ส่วนเรื่องการท่องเที่ยวบอกได้เลยว่าไม่มีคำว่าน่าเบื่อ เพียงขับรถขึ้นทางตอนเหนือก็ใกล้กับ Townsville เมืองแห่งการท่องเที่ยว หรือลงทะเลก็จะเจอกับเกาะ Whitsunday และเกาะรอบข้าง ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดฮิตประจำรัฐเลย

และ Atherton Tablelands แม้ชื่อเมืองอาจจะไม่เป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ แต่ในด้านเกษตรกรรมที่นี่คือแหล่งปลูกพืชผักผลไม้ที่ดีอันดับต้นๆในด้านตอนเหนือของรัฐ ไม่ว่าจะเป็นอะโวคาโด มะม่วง กล้วย ส้ม และอ้อยปริมาณมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อนระหว่างเดือนธันวาคม-มีนาคม



Photo by freepik.com


และก็ยังมีเมืองเล็กๆอย่าง Stanthorpe ทางตอนใต้ของรัฐควีนส์แลนด์ ประตูสู่รัฐที่นอกจากมีชื่อเสียงด้านการท่องเที่ยวแล้ว ที่นี่สามารถปลูกแอปเปิ้ลได้มากถึง 30 สายพันธุ์ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์-มิถุนายน คนงานจะต้องปีนบันไดขึ้นไปเก็บแอปเปิ้ลสดๆจากต้น รวมไปถึงสตรอว์เบอร์รี่ที่ได้ผลผลิตมากมายในช่วงเดือนพฤศจิกายน-เมษายน หรือจะเมือง Lockyer Valley แหล่งที่ได้รับสมญานามว่า ”ชามสลัดแห่งควีนส์แลนด์" เป็นเมืองที่สามารถผลิตผักและผลไม้หลากหลายชนิด เป็นสถานที่ที่ดีในการหางานทำสวนและทำฟาร์มผัก สุดท้ายเมือง Innisfail และ Tully เมืองมีชื่อเสียงในด้านการปลูกกล้วย ที่ขึ้นผลผลิตตลอดทั้งปี และต้องการคนเก็บกล้วยตลอดทั้งปีเช่นกัน



Photo by agrilabour.com.au


ช่องทางหางานฟาร์ม?

      ต้องยอมรับว่างานฟาร์ม เป็นงานที่ไม่ต้องใช้เงินและทักษะมาก เพียงแค่ใช้เวลาและร่างกาย และเป็นที่รู้จักกว้างขวาง ทำให้เป็นงานที่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการฉ้อโกง เช่น หลอกให้ผู้สนใจโอนเงินค่าดำเนินการเพื่อทำวีซ่างานฟาร์ม ซึ่งไม่มีอยู่จริง ดังนั้นใช้วิจารณญาณให้ดี หาข้อมูลเยอะๆ ซึ่งช่องทางการหา เริ่มต้นหนีไม่พ้นช่องทางออนไลน์ อย่างในเว็บไซด์หางาน gumtree.com.au, waytree.com/find-a-job/, www.seek.com.au, www.backpackerjobboard.com.au ที่จะมีนายจ้างมาตั้งกระทู้หาคนไปเก็บเกี่ยวผลผลิตเช่นกัน แต่ก็ต้องระวัง Scammers ด้วยนะ อีกช่องทางที่ดีไม่แพ้กันคือการติดต่อหาฟาร์มโดยตรงและปรึกษาคนที่มีประสบการณ์ ที่แนะนำกันมาแบบปากต่อปาก หรือจะถามตาม Backpacker Hostel ก็ยังได้เช่นกัน สุดท้ายแล้วควรใช้หลากหลายช่องทางประกอบการตัดสินใจ เช่น หากได้ยินชื่อฟาร์มมาจากเพื่อน ให้นำชื่อนี้มาค้นหาและติดต่อฟาร์มโดยตรง เป็นต้น

มีพืชผลหลากหลายชนิด ที่ปลูกได้ดีในรัฐควีนส์แลนด์ ตั้งแต่พืชเขตหนาวบริเวณเทือกเขาทางตอนใต้ ไปจนถึงพืชเขตร้อนทางตอนเหนือ และพืชที่ปลูกบนที่ราบขนาดใหญ่ทางตะวันตกของรัฐ รวมถึงแถบชายฝั่งทะเลก็มีโอกาสทำงานด้านพืชสวนมากมาย แน่นอนว่าพื้นที่ส่วนใหญ่จะอยู่ในชนบทห่างไกล ซึ่งมักมีสภาพอากาศเลวร้าย และไม่ได้มีความสะดวกสบายเท่ากับทำงานในเมืองใหญ่ แต่ประสบการณ์ที่ได้นั้นแสนคุ้มค่า ทั้งด้านการทำงานที่ได้พบปะเพื่อนๆหลากเชื้อชาติ รวมไปถึงการได้ออกไปท่องเที่ยวในที่ๆไม่เคยไป และที่สำคัญรายรับที่ได้มา คุ้มค่าเหนื่อยเลยทีเดียว

อ้างถึง
อ้างอิง :

https://www.workforceaustralia.gov.au/
https://www.oysterworldwide.com/news/best-place-to-do-farm-work-in-australia/
https://www.australia-backpackersguide.com/fruit-picking-seasons-australia/#Queensland
https://waytree.com/blog/backpackers-guide-to-finding-farm-jobs-in-queensland

9


“เชื่อว่าใครๆก็อยากมีบ้าน ในย่านที่น่าอยู่”

นิยามความน่าอยู่ของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บางคนชอบอยู่ในพื้นที่แสนสงบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน บางคนชอบอยู่ในย่านที่อบอุ่น เต็มไปด้วยร้านค้า คาเฟ่ มีเพื่อนบ้านมากมาย หรือบางคนก็อยากอยู่ในย่านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวก เข้าถึงตัวเมืองได้ง่าย มีนิยามอีกนับร้อยที่แต่ละคนต้องการ อย่างไรก็ดี วันนี้เราจะมาแนะนำย่านน่าอยู่ ห่างจากใจกลางเมืองไม่กี่กิโลเมตร มาดูกันว่าแต่ละย่านมีเสน่ห์อะไรที่น่าสนใจ เผื่อเป็นทางเลือกสำหรับใครที่มองหาย่านที่พักอาศัย ที่ขยับออกนอกตัวเมืองแต่ก็ไม่ห่างไกลความสะดวกสบาย


Kangaroo Point



Photo by kangaroopointnews.com.au


      เริ่มต้นด้วยย่านในฝันของผู้เขียนหรือของใครหลายคน เวลาเดินเล่นเลียบแม่น้ำจาก City Botanic Gardens ทีไร จะมองเห็นบ้านเรือน ที่ตั้งอยู่ในทำเลที่มองเห็นวิวแม่น้ำได้กว้างขวางเต็มตาช่างน่าสวยงาม อีกทั้งยังมีโซนที่พักอาศัยที่ตั้งอยู่สูง บริเวณ Kangaroo Point Cilff ที่เป็นจุดชมวิวที่มองเห็นวิวเมือง พร้อมพระอาทิตย์ตกที่สวยงามที่สุดจุดนึงของบริสเบน มากกว่าการตั้งในจุดที่มีวิวสวยแล้ว ย่านนี้ยังมี Kangaroo Point Riverwalk พื้นที่สีเขียวเลียบแม่น้ำที่เป็นทั้งเส้นทางวิ่งออกกำลังกาย จุดปีนหน้าผา นั่งปิกนิก รวมไปถึงมีจุดพายคายัค จากบริษัทที่ให้บริการอีกด้วย แค่บรรยากาศดียังน่าอิจฉาไม่พอ ย่านนี้ยังเพียบพร้อมไปด้วยการเดินทางที่แสนสะดวก เพราะใกล้กับเส้นทาง M3 Pacific Motorway ทางด่วนสำหรับเดินทางออกนอกเมือง อีกทั้งยังใกล้กับ Story Bridge สะพานที่ใช้สัญจรไปฝั่ง Fortitude Valley เข้าตัวเมือง การโดยสารทางน้ำก็สะดวกสบายเช่นกัน ย่านนี้ใกล้กับท่าเรือสำหรับ CityCat Ferry ส่วนเรื่องสังสรรค์และความบันเทิงไม่น้อยหน้า เพราะมี Howard Smith Wharves เต็มไปด้วยร้านอาหารนั่งชิล ชมวิวแม่น้ำใต้สะพานยามค่ำคืนอันแสนโรแมนติก ถ้าวันใดวันนึงมีโอกาส (และเงิน) ก็อยากมาใช้ชีวิตที่นี่เหมือนกัน


New Farm



Photo by livingnomads.com


      อีกย่านริมน้ำที่อยู่ถัดออกจากใจกลางเมืองเพียงไม่กี่กิโลเมตร ของดีที่นอกจากวิวทิวทัศน์สวยงามไม่แพ้ย่าน Kangaroo Point แล้ว แถบนี้ยังเป็นแหล่งที่เต็มไปด้วยที่พัก อาคารบ้านเรือน คอนโดมิเนียมมากมาย ท่ามกลางต้นไม้อันร่มรื่นของข้างทาง จุดที่รวมตัวของคนในชุมชนนี้ อยู่ที่ New Farm Park สวนสาธารณะอันสวยงามที่นิยมจัดงานแต่งงานและอีเว้นท์เล็กๆกลางแจ้ง ในช่วงฤดูใบไม้ผลิปลายปี สวนแห่งนี้เป็นอีกจุดชมความสวยงามของดอก Jacaranda ที่ผลิบานและร่วงใต้ต้น ทำให้สีม่วงของดอกตัดกับสีเขียวของสนามหญ้าอย่างสวยงาม อีกทั้งยังมี Farmer Market ในวันหยุดสุดสัปดาห์ยามเช้า และเป็นที่ตั้งของ Brisbane Powerhouse โรงละครสำหรับการจัดแสดงงานศิลปะและวัฒนธรรมร่วมสมัย อย่างการแสดง Musical , คอนเสิร์ตขนาดเล็ก , ประกวดเต้น หรือ Stand Up Comedy ก็จัดขึ้นที่นี่ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่สีเขียวที่มีความสำคัญกับคนในพื้นที่ในทุกโอกาส สิ่งที่ตามมาจากการเติบโตของชุมชนที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น นั่นคือคาเฟ่ ร้านกาแฟหลากหลายร้าน มีทั้งสไตล์อบอุ่นหรือทันสมัย หรือจะ​​ไปสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำมีบรรยากาศที่มีชีวิตชีวากับร้านอาหารให้เลือกมากมาย บนถนน Brunswick Street และแหล่งช้อปปิ้ง Merthyr Village Shopping Centre เดินทางสะดวกไปยังใจกลางเมือง New Farm คืออีกหนึ่งชุมชนที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยพลังงานของคนรุ่นใหม่


Paddington-Milton



Photo by brisbane.qld.gov.au


      ย่านที่ล้อมรอบด้วยบรรยากาศอันแสนอบอุ่นและไม่เหมือนใคร เป็นย่านชานเมืองที่ใกล้กับตัวเมือง มีเสน่ห์ ไม่ว่าจะคนรุ่นใหม่และครอบครัวต้องการเข้ามาอยู่อาศัย Paddington เป็นที่รู้จัก จากการเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่มีชื่อเสียงอย่างเช่น Government House บ้านพักเจ้าหน้าที่ราชการที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารโบราณ แถมยังเต็มไปด้วยร้าน Boutique และคาเฟ่แสนมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะถนน Latrobe และ Given Terraces เป็นเส้นที่ผสมผสานศิลปะและวัฒนธรรม เข้ากับพื้นที่ที่อยู่อาศัยและพื้นที่เชิงพาณิชย์ได้อย่างลงตัว ย่านนี้ยังคงเป็นที่ตั้งของ Suncorp Stadium สนามกีฬาขนาดยักษ์ สถานที่จัดกิจกรรมที่สามารถรองรับจำนวนผู้เข้าชมมากถึง 55,000 คน โดยเฉพาะการแข่งกีฬาและคอนเสิร์ตระดับโลก, Castlemaine Perkins Brewery โรงเบียร์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่บน Milton Road สถานที่ผลิตเบียร์ท้องถิ่นยี่ห้อโด่งดัง XXXX อีกทั้งยังมี Rosalie Village ศูนย์รวมร้านค้า ร้านอาหาร โรงหนัง และซุปเปอร์มาเก็ตจำหน่ายสินค้า



West End



Photo by en.wikipedia.org


      ลงมาทางตอนล่างจากตัวเมือง จะพบกับบรรยากาศสบายๆ ที่ผสมผสานความหลากหลายทางวัฒนธรรมไว้มากมาย พบเห็นได้จากร้านอาหารหลากสัญชาติบนถนนเส้น Boundary Street รวมถึงคาเฟ่ ตลาด ร้านขายสินค้างานฝีมือ ทำให้กลายเป็นย่านที่ดึงดูดนักออกแบบ นักดนตรี รวมไปถึงคนทำงานเข้ามาพักอาศัยอีกด้วย หรืออาจจะพูดได้ว่าย่านนี้เหมาะกับครอบครัวเป็นพิเศษ เพราะมีสถานที่และกิจกรรมที่สามารถพาลูกๆมาเพลิดเพลินได้ ไม่ว่าจะเป็น Orleigh Park พื้นที่สีเขียวที่อยู่ตรงหัวโค้งแม่น้ำและเส้นทางเลียบแม่น้ำ ที่สามารถพาเจ้าตัวเล็กมาเดินเล่น หรือใครมีสัตว์เลี้ยงก็จูงมาออกกำลังกายได้เช่นกัน อีกทั้งยังใกล้กับ Queensland Performing Arts Centre (QPAC), Queensland Museum, Queensland Art Gallery, และ Gallery of Modern Art (GOMA) ที่พาเด็กๆมาดื่มด่ำกับศิลปะและวัฒนธรรมได้ ส่วนในเช้าวันเสาร์ ที่ Davies Park มี The West End Markets ตลาดนัดที่จำหน่ายผลผลิตจากเกษตรกร อาหารและงานฝีมือ เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่ที่มีชีวิตชีวาแบบมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นหนึ่งในย่านที่มีการขยายตัวของเมืองค่อนข้างรวดเร็วเมื่อเทียบกับย่านอื่น


Spring Hill



Photo by brisbane.qld.gov.au


      หนึ่งในย่านที่เก่าแก่ที่สุดของบริสเบน มีถนนประวัติศาสตร์ โครงสร้างและอาคารโบราณในยุควิคตอเรีย ที่ถูกรีโนเวทภายในแต่ยังคงไว้ซึ่งความสวยงามภายนอก ทำให้อาคารเก่าแก่เหล่านี้ ปัจจุบันได้กลายเป็นสำนักงาน, บ้านพัก หรือโรงแรม เป็นการปรับความวินเทจให้เข้ากับวิถีชีวิตคนเมืองสมัยใหม่ได้อย่างร่วมสมัย อีกหนึ่งอาคารโบราณที่ยังคงใช้งานเหมือนเดิม นั่นคือ Spring Hill Baths โรงอาบน้ำในร่มที่สร้างขึ้นในปี 1886 เป็นสระแห่งแรกของบริสเบนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารโบราณ และตอนนี้ก็ยังเปิดใช้งานเหมือนเดิม สระว่ายน้ำแห่งนี้ยังคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของโลกยุคเก่า ด้วยห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแบบคลาสสิก และที่นั่งบนอัฒจรรย์ที่เหมือนได้ย้อนเวลากลับไปเมื่อร้อยปีก่อน บุคคลทั่วไปสามารถเข้าใช้บรการได้แบบมีค่าใช้จ่าย Spring Hill ยังเป็นศูนย์รวมทางการแพทย์และโรงพยาบาล ไม่ว่าจะเป็น St. Andrew's War Memorial Hospital, Brisbane Private Hospital และคลินิคผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เรียงรายบนถนน Wickham Terrace นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงอย่าง Brisbane Grammar, Brisbane Girls Grammar and St Josephs College อีกด้วย อีกหนึ่งสิ่งที่เป็นบริการฟรีของเมือง นั่นคือรถเมล์โดยสารเข้าเมือง หรือ City Loop ที่แวะรับผู้โดยสารจากชานเมืองตามจุดใหญ่ๆ ผ่านเข้าใจกลางเมือง CBD เฉพาะในช่วงเวลาเร่งรีบ บริการนี้ยังขยายเส้นทางไปยัง Spring Hill Loop แวะจอดป้าย Post Office Square และจบที่ Central Station ตั้งแต่ 6 โมงเช้าในวันธรรมดา จนถึง 9.15 น.



Windsor


Photo by mosaicproperty.com.au


      
จบด้วยย่านชานเมืองทางตอนเหนือ ที่ขึ้นชื่อเรื่องรูปแบบที่อยู่อาศัยหลากหลายสไตล์ ทั้งแบบ Queenslanders, บ้านยุคหลังสงครามโลก และทาวน์เฮาส์สมัยใหม่ มีทำเลที่สะดวกสบาย เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก การขนส่งสาธารณะ และแหล่งช้อปปิ้งใกล้เคียงได้ง่าย ใครที่ได้มาอยู่ย่านนี้ จะใกล้กับ Windsor Road Farmers Market ตลาดเช้าทุกวันอาทิตย์ จัดขึ้นที่ Windsor State School จำหน่ายผลิตผลท้องถิ่นสดใหม่ อาหารรสเลิศ งานฝีมือ และอื่นๆ อีกมากมาย เป็นตลาดที่ช่วยสนับสนุนเกษตรกรและผู้ผลิตในท้องถิ่น,​ Windsor Historic Society ตั้งอยู่ใน Council Chambers เดิม เป็นอาคารหินเก่าแก่สร้างขึ้นในปี 1897 นำมาจากหินที่แกะสลักจากเหมือง Windsor ที่อยู่ใกล้เคียง ปัจจุบันอาคารและเหมืองหินเก่าได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกประจำเมือง สามารถเยี่ยมชมเพื่อสัมผัสประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ แน่นอนว่าต้องมีพื้นที่สีเขียว อย่างสวนสาธารณะและทางเดินที่สวยงามตั้งอยู่ข้างลำธาร Enoggera ที่สวยงาม การเดินเล่นสบายๆ ไปตามลำห้วย ไปยังสวนสาธารณะ Downey Park ซึ่งมีสนามเด็กเล่น สวนสาธารณะ และพื้นที่ป่าที่เหลืออยู่บางส่วน เป็นย่านที่เราสามารถใกล้ชิดกับธรรมชาติได้อย่างไม่น่าเชื่อ


สุดท้ายการใช้ชีวิตอยู่ชานเมืองบริสเบน ยังคงเต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายไม่แพ้ใจกลางเมือง แถมยังเดินทางไปมาก็สะดวกด้วยรถสาธารณะ สามารถใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการได้แบบที่ไม่วุ่นวาย ทำให้ย่านเหล่านี้เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย สำหรับการใช้ชีวิตในบริสเบนระยะยาว



10


😎 ยินดีต้อนรับผู้อ่านเข้าสู่บทความ เที่ยวตามฤดู The Series 😎

เข้าสู่ตอนสุดท้ายของซีรี่ย์ เที่ยวตามฤดู”“  วันนี้เราจะมาปิดท้ายกันที่ ฤดูร้อน ฤดูที่แสนจะคึกคักเพราะตรงกับช่วงสิ้นปีพอดี  ความสนุกสนานมากมายเกิดขึ้นภายในเมือง ท่ามกลางท้องฟ้าปลอดโปร่ง และแดดเจิดจ้านี้ มาดูกันว่าฤดูร้อนนี้ บริสเบนจะมีอะไรให้เราได้เติมเต็มความสุขด้วยกิจกรรมอะไรกันบ้าง มาติดตามกัน


⛅️ สภาพอากาศและภาพรวม ⛅️



Photo by  by Sasin Tipchai from Pixabay

      ถ้าพูดถึงฤดูร้อนที่บริสเบน คนไทยอย่างเราต้องคุ้นเคยกับอากาศแบบนี้ค่อนเป็นอย่างดี อุณหภูมิเฉลี่ยของหน้าร้อนในช่วงกลางวันอยู่ที่ 21 - 29.8°C ส่วนกลางคืนก็มีสภาพอากาศที่เย็นลงเล็กน้อย เริ่มต้นตั้งแต่ช่วงเดือนธันวาคม จนถึงมีนาคม สภาพอากาศในช่วงฤดูนี้ จะมีฝนตกหนักในหลายพื้นที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ซึ่งอาจจะเกิดพายุฝนรวมไปถึงน้ำท่วมหลาก เหมือนที่เคยเกิดขึ้นเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2022 ที่ผ่านมา แท้จริงแล้วบริสเบนเคยมีเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งใหญ่ในอดีตอีกถึง 2 ครั้ง คือเมื่อเดือนมกราคมปี 2011 ที่เกิดจากพายุไซโคลน และย้อนกลับไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 1893 ที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่จนต้องขนานนามว่า “The Black February Flood” นี่นอกจากสะพานจะเสียหายแล้ว ยังเกิดผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์นั้นด้วย


📸 กิจกรรมที่น่าทำ 📸



Photo by Igor Link from Pixabay

      ฤดูร้อนสำหรับชาวออสซี่ อาจจะต่างกับคนไทยอย่างเรา ตรงที่พวกเค้าไม่ชอบอยู่บ้านหลบร้อน แต่เลือกที่จะออกจากบ้าน ทำกิจกรรมนอกบ้านและรับแดด ไม่ว่าจะเป็นการออกไปทะเล, ปั่นจักรยาน นั่งปิกนิก รับบรรยากาศที่สวนสาธารณะ หรือถ้าตากแดดไม่ไหวจริงๆ ก็เลือกที่จะเดินเข้าห้างสรรพสินค้า หรือร้านค้าเพื่อไปช้อปปิ้ง กินของเย็นดับร้อน จะเห็นว่าเป็นช่วงเดือนที่ผู้คนออกมานอกบ้านอย่างคึกคัก อีกทั้งช่วงเดือนฤดูร้อนก็ใกล้เข้าสู่ช่วงเทศกาลปีใหม่ คริสต์มาสพอดี เมืองมีบรรยากาศสีสันมากกว่าปกติเมื่อเทียบกบฤดูกาลอื่น สิ่งที่ควรระวังที่หลายคนจะชะล่าใจ คือความแรงของรังสี UV ที่นอกจากจะทำให้ผิวเราคล้ำขึ้นแล้ว ยังเป็นสาเหตุของฝ้า กระ รวมไปถึงโรคทางผิวหนังอื่นๆ จะออกนอกบ้านทั้งที อย่าลืมพกแว่นกันแดด หมวก และทาครีมกันแดดด้วย



Photo by howardsmithwharves.com

อากาศร้อนแดดจ้าขนาดนี้ จะให้ขยับตัวไปไหนไกลก็คงเหนื่อย งั้นลองหาที่นั่งชิลล์ในตัวเมืองรับลมเย็นในร่มหรือจะอาบแดดไปเลย อย่างการนั่งชมวิวมุมสูง รับลมบน Rooftop  Bar บาร์ดาดฟ้าในเมือง ที่มีวิวแจ่ม บรรยากาศดี มีเครื่องดื่มและอาหารอร่อยๆ ในบางแห่งสามารถมองเห็นวิวเมืองแบบ 360 องศาในจุดที่สูงที่สุดของเมืองเลย อย่างเช่น ”Fiume Rooftop Bar” บาร์มุมสูงชั้น 3 ของ โรงแรม The Fantauzzo บริเวณ Howard Smith มุมที่มองเห็นสะพาน Story Bridge ได้อย่างใกล้ชิด และหากพูดถึงย่านกินดื่ม คงหนีไม่พ้นย่าน Fortitude Valley ซึ่งนอกจากจะมีผับบาร์ที่เดินแวะเข้าไปสั่งเครื่องดื่มได้แล้ว ​ย่านนี้ยังมีร้านดาดฟ้าที่ซ่อนตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ”Valley Hops Brewing" ร้านที่ยกโรงกลั่นเบียร์ไว้บนดาดฟ้า สามารถดื่มเบียร์ได้สดจากถัง พร้อมกับพิซซ่าหลากเมนู​ ”Cielo Rooftop" ร้านดาดฟ้าที่ตกแต่งด้วยสีเหลืองครีมสีสันสดใสไปพร้อมกับแสงแดด ”Maya Mexican" ร้านดาดฟ้าที่มีแรงบันดาลใจมาจากภูมิภาค Maya ในเม็กซิโก ออกมาเป็นการตกแต่งที่โปร่งโล่งและรู้สึกเย็นสบายและเสิร์ฟอาหารสไตล์เม็กซิกัน ตั้งอยู่บนชั้น 11 ทำให้สามารถมองเห็นวิวเมืองบริสเบนได้กว้างมากขึ้น แต่ถ้าอยากไปสัมผัสบรรยากาศวิวมุมสูงที่สุดของเมืองในโอกาสพิเศษล่ะก็ ต้องที่ "The Terrace Rooftop Bar & Restaurant” ตั้งอยู่บนชั้น 21 ของโรงแรม The Emporium Hotel ในย่าน South Bank นอกจากนี้ที่นี่คือ Rooftop Bar ที่หรูหราที่สุดของเมืองเลยก็ว่าได้ เสิร์ฟตั้งแต่มื้อเช้าจนไปถึงปาร์ตี้ในช่วงดึก วันไหนฟ้าเปิด สามารถมองเห็น Moreton Island ได้เลยทีเดียว



Photo by Siggy Nowak from Pixabay

อีกหนึ่งวิธีดับร้อนได้ดีที่สุด คือการแช่น้ำหรือทำกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เพราะน้ำจะช่วยพัดพาลมเย็นมาที่ปะทะกับตัวเรา อย่างที่เราทราบกันดี South Bank Parklands มีชายหาดทรายจำลองและสระน้ำที่ให้บุคคลทั่วไปได้เข้ามาใช้บริการแบบไม่มีค่าใช้จ่ายที่มีชื่อว่า “Streets Beach” สวมชุดว่ายน้ำลงเล่น หรือจะใช้เวลาริมสระได้ตลอดทั้งวัน อีกทั้งยังมีเครื่องเล่นสำหรับเด็กที่สามารถสนุกได้อย่างปลอดภัย หรือถ้าไม่อยากตัวเปียก สามารถหาร้านนั่งชิลล์ริมน้ำได้บริเวณ Streets Beach และโดยรอบ หรือจะปูเสื่อปิกนิก นั่งเล่นได้ที่ River Quay Green ลานหญ้ากว้างขวางริมน้ำ เหมาะกับการมานั่งในช่วงเย็นพระอาทิตย์กำลังตกดิน ถ้ายังไม่หายร้อน เดินเข้าไปรับความเย็นได้ที่ Queensland Art Gallery, Gallery of Modern Art และ Queensland Museum ที่อยู่ใกล้กันทั้งหมด เป็นโซนพิพิทธภัณฑ์ประจำเมืองที่จัดแสดงงานศิลปะแบบชั่วคราวและถาวร ส่วนตัวเราชอบมากเพราะเป็นที่ๆเราไปหาแรงบันดาลใจใหม่ๆ รวมไปถึงยังมี State Library of Queensland ที่เราไปนั่งอ่านหนังสือได้อย่างสบายใจ ใช้เวลาช่วงบ่ายที่แดดจัดทั้งวันได้ที่นี่



Photo by adrianschrinner.com.au

นตัวเมืองบริสเบน มีบริการโดยสารเรือเฟอร์รี่ที่เรียกว่า CityCats (ย่อมาจากคำว่า Catamarans) เป็นการเดินทางด้วยเรือสาธารณะที่วิ่งบนแม่น้ำบริสเบน เริ่มต้นเส้นทางจากสถานี University of Queenslands ที่ใกล้แคมปัสของ UQ ย่าน St Lucia ยาวขึ้นไปทางเหนือจนถึง North Hamilton ป้ายสุดท้ายที่จอดแวะสถานที่ชื่อดังอย่าง Eat Street Northshore เป็นอีกรูปแบบการเดินทางที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการจราจร และมีราคาเริ่มต้นเพียง $2.63 สำหรับบุคคลทั่วไป และ $1.32 สำหรับเด็กนักเรียน นักศึกษา และผู้ได้รับการยกเว้น (Concession) เพียงแตะบัตร go card ใบเดียวเข้าและออกสถานี



Photo by brisbane.qld.gov.au

และที่สำคัญ ยังมีเส้นทางเรือเฟอร์รี่ที่ “ฟรี” สำหรับทุกคน โดยเรียกเส้นทางนี้ว่า CityHopper โดยเส้นทางที่ให้บริการเริ่มตั้งแต่สถานี North Quay จนไปถึง Sydney Street ย่าน New Farm เริ่มให้บริการตั้งแต่ ตี 5.30 จนถึงเที่ยงคืน จะขึ้นลงแวะเที่ยวระหว่างสถานี หรือจะนั่งไปกลับ รับลมชมวิวเมืองสองข้างทางก็ได้แบบฟรีๆก็ทำได้ เป็นอีกกิจกรรมที่ได้ทั้งลมเย็นและท่องเที่ยวชมเมืองในราคาไม่แพง


  🌾อาหาร/วัตถุดิบที่น่าลอง 🌾



Photo by Obodai26 from Pixabay

      ฤดูร้อน คือฤดูที่ออกผลผลิตได้ดี เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น พืชพันธุ์ต่างๆที่ได้จะมีลักษณะคล้ายคลึงกับในไทย เหมาะมากที่จะเริ่มต้นปลูกต้นอะไรสักอย่าง จะเพื่อความสวยงามของสวนหลังบ้าน หรือจะปลูกพืชผักสวนครัวเพื่อรอผลผลิตไว้ทานเอง แต่ก็อย่าชะล่าใจกับแดด จนลืมหมั่นให้ความชุ่มชื้นต้นไม้ และแมลงที่คอยกัดกินใบและต้นอ่อนของคุณ ซึ่งพืชพันธุ์ที่ปลูกได้ดีในฤดูกาลนี้ มีดังต่อไปนี้


Citrus Fruits: นอกจากพริกขี้หนูที่ปลูกได้ดีภายใต้แสงแดดแล้ว ยังมีพืชตระกูลส้ม ทั้งผลส้มสายพันธุ์ต่างๆ, มะนาว, เลม่อน ที่สามารถอยู่ได้ในสภาวะแสงแดดจัด เหมาะมากที่จะปลูกเป็นพืชผักสวนครัวไว้ทานเองที่บ้าน นอกจากพืชเหล่านี้จะชอบแดดหน้าร้อนแล้ว สิ่งสำคัญคือการหมั่นให้น้ำด้วยเช่นกัน  อย่างที่ทราบกันดี ประโยชน์ของผลไม้เหล่านี้เต็มไปด้วยวิตามิน C และอื่นๆที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรง ต้านโรคที่มา ในช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลง

Pawpaw: เมื่อเราพูดถึงชื่อนี้ มักจะไปพ้องกับแบรนด์สีผึ้งหลอดสีแดง ที่ได้กลายไปเป็นของฝากยอดฮิตประจำออสเตรเลีย แต่แท้จริงแล้วนี่คือชื่อของผลไม้ที่หน้าตาคล้ายกับมะละกอบ้านเรา แต่ไม่ใช่ซะทีเดียว แถมรสชาติยังคล้ายกับกล้วยและมะม่วงมารวมกัน “พาวพาว” คือพืชที่ปลูกได้ดีในเขตร้อนชื้นอย่างบริสเบน ด้วยรสชาติหวานมันคล้ายคัสตาร์ดและเนื้อที่ชุ่มช่ำ สามารถนำไปประกอบเป็นสลัด และของหวานได้บางชนิด พาวพาว เต็มไปด้วยประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นโปรตีนช่วยต้านอนุมูลอิสระ, วิตามิน A และ C และแร่ธาตุหลายชนิด

Mangoes: ผลไม้ที่มีรสชาติคุ้นเคยทานมาตั้งแต่เด็ก สายพันธุ์มะม่วงที่ชาวบริสเบนนิยมทาน จะมีเนื้อที่เหลืองและสุก คล้ายกับน้ำดอกไม้ ได้แก่ สายพันธุ์ Kensington Pride ที่มีผิวภายนอกที่เหลืองค่อนไปทางส้ม, R2E2 มีลักษณะผลที่อ้วนกลม ไม่เรียวยาว, Calypso มะม่วงสีส้มแดง แต่โอกาสที่จะหามะม่วงเขียวเสวยแบบมะม่วงมันทาน คงหาได้ยาก มะม่วงเป็นผลไม้ที่ทานแล้วดับร้อนได้ดี สามารถนำไปทำเป็นเมนูเครื่องดื่มและของหวานได้มากมาย เช่น น้ำปั่น หรือไอศกรีม



Photo by Heike Tönnemann from Pixabay

Pineapples: สัปปะรด หนึ่งในผลไม้ตระกูล Tropical ที่ปลูกได้ดีในบริสเบนและควีนส์แลนด์ ปลูกง่ายและให้ผลผลิตดีเพราะสัปปะรดชอบอากาศร้อน จะสังเกตว่าในช่วงหน้าร้อน ถ้ามีโอกาสไปเดินตลาดจะพบเจอสัปปะรดเป็นจำนวนมาก ในช่วงก่อนเข้าหน้าหนาว และครั้งหนึ่งเมื่อช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ใครมีโอกาสเดินผ่านไปบริเวณ CBD ที่ Queens Gardens สวนที่อยู่ด้านหลัง Treasury Casino คงได้พบเห็นกระถางต้นสัปปะรด วางเรียงด้านนับร้อยกระถาง เป็นนโยบายของหน่วยงานด้านการเกษตรของเทศบาล ซึ่งต้นสัปปะรดที่วางเรียงรายนั้น ต่อมาได้แจกฟรีให้กับผู้ที่เดินผ่านไปมา เป็นการเชิญชวนให้ชาวเมืองปลูกสัปปะรดเองที่บ้าน และลบความเชื่อที่ว่าสัปปะรดปลูกยากและเติบโตได้ในใต้ดินเท่านั้น



สัปปะรดสามารถอยู่ได้ในทุกขั้นตอนของมื้ออาหาร ตั้งแต่การเตรียมอาหาร และเป็นส่วนหนึ่งของเมนูอาหาร จบด้วยเป็นผลไม้ปิดท้ายมื้อ เมนูที่รังสรรค์ไม่ว่าจะเป็น ข้าวผัดสัปปะรด,​ ผัดเปรี้ยวหวาน, แกงเผ็ดบางเมนู เมนูที่นิยมคงหนีไม่พ้นน้ำปั่นสัปปะรด เพราะทานแล้วสดชื่น ทานง่าย ดับร้อนได้ดีเลยทีเดียว คุณประโยชน์ที่สำคัญคือการช่วยย่อยอาหาร เพราะในสัปปะรดมีเอ็นไซม์ที่ชื่อว่า Bromelain ทำให้ไปช่วยจัดเส้นใยของโปรตีนให้สลายตัวเร็วขึ้น เป็นตัวช่วยให้น้ำย่อยในกระเพราะไม่ทำงานหนักเกินไปนั่นเอง


🏙 สถานที่ที่ต้องไป 🏙



Photo by Robert from Pixabay

      ชาวออสซี่รักการอาบแดดโดยเฉพาะในหน้าร้อน Gold Coast คือแหล่งที่มีชายหาดและกิจกรรมทางน้ำมากมาย เปรียบเหมือนสถานที่ท่องเที่ยวตากอากาศใกล้ตัวเมือง  ถ้าเปรียบเทียบกับที่ไทยคงเหมือนกับพัทยา สามารถเดินทางได้จากตัวเมืองด้วยรถยนต์เพียงไม่กี่ชั่วโมง หรือด้วยรถไฟสาธารณะก็ได้ โกลด์โคสต์ คือเมืองท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ร้านค้า ร้านอาหารและความชิลล์ ไฮไลท์ของเมืองคือ ชายหาดอาบแดดที่มีความยาวหลายกิโลเมตร รวมไปถึงแนวคลื่นที่มีสูง จึงทำให้ที่นี่กลายเป็นจุดที่ชาวเล่นเซิร์ฟต่างตกหลุมรัก

ชายหาดยอดนิยม อันได้แก่ Surfers Paradise แลนด์มาร์กที่เต็มไปด้วยแหล่งท่องเที่ยว ทั้งโรงแรมที่พัก, ร้านค้าและสิ่งอำนวยความสะดวก รวมถึงความบันเทิงในรูปแบบต่างๆ ใครที่มาที่โกลด์โคสต์เป็นครั้งแรก แนะนำมาพักย่านนี้เพราะมีที่พักราคาหลากหลาย โดยเฉพาะในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ จะเห็นชาวเมืองมาออกกำลังกาย จูงน้องหมามาเดินเล่น หรือวัยรุ่นมาเล่นสเกตบอร์ดเท่ๆ บริเวณนี้ยังมีจุดชมวิวมุมสูงอย่าง SkyPoint Climb จุดบริเวณดาดฟ้าของตึก Q1 ที่มีความสูงเท่ากับตึก 77 ชั้น สามารถมองเห็นวิวเมืองโกลด์โคสต์ได้เต็ม 360 องศา

อีกชายหาดที่ยอดนิยมไม่แพ้กันคือ Broadbeach ที่แม้ว่าไม่คึกคักไม่เท่ากับชายหาดแรก แต่ก็มีกิจกรรมให้ทำหลากหลาย นอกจากเราจะได้สนุกกับการเล่นน้ำทะเล และอาบแดดได้อย่างเต็มที่แล้ว ใกล้ๆยังมีสวนสาธารณะ Pratten Park ที่ให้เราพาเพื่อนๆมานั่งทำบาร์บีคิวได้ อีกทั้งยังเป็นชายหาดที่จัดกิจกรรมใหญ่ อย่างเทศกาลดนตรี Groundwater Country Music Festival




Photo by tangalooma.com

      Moreton Island คืออีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมทั้งสำหรับชาวออสซี่และนักท่องเที่ยวต่างชาติ สามารถเดินทางไปยังเกาะได้ด้วยรถยนต์ 4 wheel drive เพื่อไปแคมป์ปื้ง หรือการซื้อทัวร์แบบ 1 Day Trip ก็มีให้เห็นมากมายหลายเจ้า แม้ว่าเป็นเกาะขนาดเล็กและมีโรงแรมเพียง 1 แห่งถ้วนนั่นคือ “Tangalooma Resort" แต่บนเกาะก็มีกิจกรรมที่น่าสนใจและไม่เหมือนที่อื่น อย่างเช่นการไถลลงจากเนินทราย ที่เรียกว่า Sand Boarding หรือการให้อาหารโลมาด้วยมือเปล่าบริเวณน้ำตื้น ยังมีอีกจุดไฮไลท์บนเกาะ นั่นก็คือการว่ายน้ำ Snorkelling หรือจะพาย Kayaking รอบๆ ซากเรืออัปปางกลางทะเล ตรงนี้เป็นจุดที่มีชื่อว่า Tangalooma Wrecks สามารถเจอปลารูปแบบต่างๆ ปะการังและระบบนิเวศที่ใช้โครงสร้างของเรือพึ่งพากัน



Photo by tangalooma.com

ยังมีกิจกรรมและสิ่งที่น่าสนใจอื่นๆบนเกาะ อย่างเช่น ที่เกาะนี้คือที่ตั้งของประภาคารแห่งแรกของรัฐควีนส์แลนด์ มีชื่อว่า “Cape Moreton Lighthouse” ก่อตั้งในปี 1857 ปัจจุบันได้กลายเป็นเพียงจุดท่องเที่ยว และยังมีทะเลสาบที่เกิดขึ้นเมื่อจากการยุบตัวของทราย ชื่อว่า “Blue Lagoon” นอกจากจะเหมาะสำหรับการลงไปเล่นแล้ว บริเวณรอบๆก็เต็มไปด้วยสิ่งมีชีวิตมากมาย โดยเฉพาะผู้ชื่นชอบการดูนก บริเวณทะเลสาบนี้สามารถพบเจอนกป่าหลากหลายชนิด และยังมีจุดท่องเที่ยวอื่นๆอีกมาย รอให้เราได้เข้าไปดูด้วยตาตัวเอง แต่ถ้าไปวันเดียวคงจะเก็บไม่ครบ หากต้องการค้างคืนและซื้อทัวร์ท่องเที่ยวบนเกาะ สามารถอ่านรายละเอียดและจองได้ที่ https://www.tangalooma.com/


🎊 เทศกาลพิเศษที่ห้ามพลาด  🎊

เทศกาล Christmas และ New Year’s Eve



Photo by studentone.com

      ช่วงสิ้นปีคือช่วงที่ผู้คนต่างรอคอยอย่างปฎิเสธไม่ได้ เพราะนอกจากจะมีวันหยุดยาวให้ออกไปใช้เวลาพักผ่อนจากความเหนื่อยล้ามาทั้งปี ยังเป็นช่วงที่ในเมืองและนอกเมือง ต่างมีกิจกรรมที่ให้ได้ไปสร้างความสุขกับเพื่อนๆและครอบครัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงวันคริสต์มาสและช่วงวันปีใหม่ ที่ทั้งเมืองพร้อมใจกันประดับประดา ตกแต่งหน้าร้านในบริเวณ Queen Street Mall ไว้อย่างสวยงามน่าชม ภายในเมืองมีธรรมเนียมการตั้งต้นคริสต์มาสขนาดยักษ์ ตระหง่านด้านหน้า Brisbane City Hall พร้อมกับฉายไฟบนด้านหน้าอาคารในทุกปี รวมถึงตลาดคริสต์มาส ตลากที่จำหน่ายอาหาร ของใช้ งานฝีมือ ให้ได้เลือกซื้อของขวัญให้กันในช่วงปีใหม่ที่จะมาถึง ซึ่งตลาดบางแห่งเริ่มตั้งแผงขายกันตั้งแต่ช่วงต้นเดือนธันวาคม เผลอๆยาวข้ามปีไปเลยก็มี และที่สำคัญในช่วงเดือนปลายเดือนพฤศจิกายนหลังวัน Thanksgiving จะมีเทศกาล Sale ที่เรียกว่า “Black Friday” ที่แต่ละร้านค้าออกมาโละสินค้าเก่า ด้วยการลดราคาสินค้าแบบกระหน่ำซัมเมอร์เซลล์ของจริง ไม่ว่าจะเป็นสินค้าแฟชั่น เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใครที่มีอะไรอยากได้อดใจรอวันศุกร์ที่ 24 พ.ย. ของปีนี้ได้เลย



      แน่นอนว่าในวันคริสต์มาสเป็นวันหยุดราชการ ร้านค้าและร้านอาหารหลายแห่งจะปิดทำการ แต่ก็มีสถานที่บางแห่งเปิดเพื่อต้อนรับผู้คน ไม่ว่าจะเป็นสวนสัตว์ที่ Lone Pine Koala Sanctuary ศูนย์อนุบาลหมีโคล่า รวมไปถึงสวนสาธารณะต่างๆในเมือง ที่เปิดให้ผู้คนไปนั่งปิกนิกและ Barbie กันกับเพื่อนฝูง อีกหนึ่งความสวยงามที่จัดขึ้น นั่นคือ “The Enchanted Garden” การจัดแสงสีไฟยามค่ำคืน ในสวน Roma Street Parkland ที่เปิดให้เข้าชมความสวยงาม (แบบมีค่าใช้จ่าย) อีกมุมหนึ่งของบริสเบนในสวนสาธารณะยามค่ำคืน รวมไปถึงย่าน South Bank ก็ยังมีกิจกรรมฟรีที่จัดขึ้นตลอดเดือนธันวาคม ไม่ว่าจะเป็น การฉายภาพยนตร์กลางแปลง, ตลาดขายสินค้าแฮนด์เมด, โชว์การแสดง ดนตรีสด และอีกหนึ่งธรรมเนียมของวันคริสต์มาสนั่นคือคอนเสิร์ตประสานเสียง “The Lord Mayor’s Christmas Carols” ที่จะมีเด็กๆแต่งตัวน่ารักๆในธีมคริสต์มาส ร่วมกันร้องเพลงแห่งความสุขไปพร้อมกันที่ Riverstage ใน City Botanic Gardens เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีเข้าชมฟรี และฉลองเข้าสู่วันสุดท้ายก่อนเข้าสู่ปีใหม่ ด้วยการเฉลิมฉลองจุดพลุไฟสุดอลังการกับงาน ”Lord Mayor’s NYE Fireworks” จัดขึ้นบนแม่น้ำบริสเบน บริเวณสะพาน Story Bridge สามารถเฝ้ารอความสวยงามของพลุหลากสีได้ บริเวณ South Bank


Australia Day



Photo by en.wikipedia.org/wiki/Australia_Day 

      เทศกาลวันชาติประจำปีในทุกวันที่ 26 มกราคม ซึ่งตรงกับวันที่เรือทั้ง 11 ลำจากอังกฤษ ยกทัพขึ้นบกในปี 1788 ที่ Port Jackson เมืองท่าที่เป็นส่วนหนึ่งของ Sydney และในวันนั้นเองได้ปักธงชาติบนลงแผ่นดินนี้ เป็นการแสดงออกถึงชัยชนะ ในยุคล่าอาณานิคมในประเทศ วันสำคัญนี้เองได้ถูกตั้งชื่อว่าวัน “The First Fleet” เพราะการมาของชาวตะวันตก นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงมากมาย รวมไปถึงเปิดรับการเข้ามาของผู้คนหลากหลายเชื้อชาติจากฝั่งยุโรป ให้เข้ามาตั้งหลักปักฐานสร้างเมืองกันบนเกาะแห่งนี้ แต่เหรียญย่อมมีสองด้าน การมาของกลุ่มคนแปลกหน้า คือการรุกรานเข้ามายังพื้นที่ดั้งเดิมของชาวท้องถิ่นโบราณอย่าง Aboriginal ทำให้ชุมชนกลุ่มคนเหล่านี้ถูกทำลายรวมถึงที่พักอาศัย จนต้องระหกระเหินหนีตายเพื่อไปสร้างพื้นที่แห่งใหม่บนประเทศบ้านเกิดของตัวเอง ซึ่งตั้งแต่ปี 1938 เป็นต้นมา แต่ละเมืองจะมีกิจกรรมเพื่อแสดงความไว้อาลัยต่อกลุ่มคนพื้นเมืองในอดีต รวมไปถึงมีกลุ่มคนที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องให้ยกเลิกการเฉลิมฉลองในวันชาติออสเตรเลียทุกๆวันนั้น

เนื่องจากเป็นวันที่มีความสำคัญประจำปีและเป็นวันหยุดราชการ มีการเดินขบวนโบกธงฉลอง ผู้คนในเมืองต่างออกมาพบปะครอบครัวและเพื่อนฝูง ทำ Barbie กันตามสวนสาธารณะ และร่วมกิจกรรมต่างๆที่จัดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นดนตรีสด, การแสดงทางวัฒนธรรม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงพลุเฉลิมฉลองบนแม่น้ำบริสเบนในช่วงค่ำ บริเวณ Story Bridge ที่ผู้คนสามารถมานั่งรอชมความสวยงามของพลุได้ตั้งแต่บริเวณ Southbank ในช่วงค่ำ


Woodford Folk Festival


      นี่คือหนึ่งในเทศกาลกลางแจ้งที่ใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย งานนี้จัดขึ้นบริเวณเมือง Woodford ย่าน Morton Bay ในทุกวันที่ 27 ธันวาคมถึงวันขึ้นปีใหม่ 1 มกราคมของทุกปี ยาวถึง 6 วัน 6 คืน Woodford Folk Festival จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1987 เนื่องจากเป็นเทศกาลที่เกิดขึ้นมาอย่างยาวนาน มีผู้คนเข้าร่วมให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก ทำให้เป็นเทศกาลดนตรีได้รับรางวัล “Best Live Music Festival or Event” จาก National Live Music Awards เมื่อปี 2020 ที่ผ่านมา งานใหญ่นี้รวมศิลปินและนักดนตรี ทั้งในและต่างประเทศมากถึง 2,000 คน และมีผู้เข้าร่วมงานมากถึงหลักแสนคนเลยทีเดียว โปรแกรมภายในงานมีไลฟ์คอนเสิร์ต ในแนวเพลงอันหลากหลาย ทั้งแบบเต็มวงและอะคูสติก, การแสดงเต้นในรูปแบบต่างๆ , การแสดงละครเวทีและกายกรรม, ฉายภาพยนตร์ และ Workshop ต่างๆ ทั้งสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เรียกได้ว่าอยู่เต็ม 6 วัน ได้รับชมศิลปะไม่ซ้ำกันเลยสักวัน



Photo by en.wikipedia.org/wiki/Woodford_Folk_Festival

      นอกจากเสียงดนตรี ศิลปะ และการเต้นรำแล้ว สิ่งที่เป็นธรรมเนียมของที่นี่คือ “The 3 Minutes Silence” คือการสร้างบรรยากาศให้อยู่ภายใต้ความเงียบใน 3 นาทีสุดท้ายของปี เพื่อต้อนรับเข้าสู่วันปีใหม่ในตอนเที่ยงคืนตรง และช่วงพระอาทิตย์ขึ้นของวันปีใหม่นั้นเอง ก็จะมีดนตรีบรรเลงขับกล่อมต้อนรับเข้าสู่วันแรกของปีได้อย่างสงบ และจบงานวันสุดท้ายด้วย “The Fire Event” การจุดไฟที่ซุ้มปีใหม่ที่ใช้ในงาน ให้เกิดเพลิงไหม้โดยมีดนตรีและการแสดงล้อมรอบ เป็นอันจบงานอย่างเป็นทางการด้วยงานศิลปะอันแสงลึกซึ้งและมีเรื่องราว

จบกันแล้วสำหรับบทความซีรี่ย์ “เที่ยวตามฤดู” จากบทความทั้งหมด 4 ฤดูที่ผ่านไป หวังว่าทุกคนจะได้ไอเดียการไปเที่ยวในฤดูต่างๆกัน ไม่มากก็น้อย อีกไม่กี่เดือนก็เข้าสู่ฤดูกาลใหม่แล้ว อย่าลืมวางแผนเที่ยวกันด้วยล่ะ

อ้างถึง
https://www.australia.com

www.therooftopguide.com/rooftop-bars-in-brisbane

https://www.brisbane-australia.com/brisbane-city-cats.html

https://www.brisbane.qld.gov.au/traffic-and-transport/public-transport/citycat-and-ferry-services

https://www.4bc.com.au/why-a-pineapple-plantation-has-popped-up-in-the-brisbane-cbd/

https://visit.brisbane.qld.au/

https://www.queensland.com/sg/en/places-to-see/experiences/beaches/best-beaches-gold-coast

https://brisbanekids.com.au/christmas-in-brisbane-city-for-families/

https://en.wikipedia.org/wiki/Australia_Day

https://en.wikipedia.org/wiki/Woodford_Folk_Festival

https://www.theurbanlist.com/brisbane/a-list/summer-music-festivals-brisbane

11


🌱🌺🌷🌿 ยินดีต้อนรับผู้อ่านเข้าสู่บทความ เที่ยวตามฤดู The Series 🌱🌺🌷🌿

เข้าสู่ตอนที่สามของ เที่ยวตามฤดู The Series จากตอนก่อนหน้านี้ที่เล่าถึงสถานที่และกิจกรรมที่น่าทำในช่วงฤดูหนาวกันไป คราวนี้เราจะมาต่อกับฤดูกาลที่ใครหลายคนชื่นชอบ นั่นก็คือฤดูใบไม้ผลิ (Spring) ซึ่งเป็นช่วงเวลาแห่งความสดใส สดชื่น ของดอกไม้และพืชพันธุ์ที่เบ่งบานรอบตัว อีกทั้งเป็นช่วงที่ท้องฟ้าเปิดหลังจากที่อึมครึมมาในช่วงหน้าหนาวมาหลายเดือน ลมเย็นสบายและอบอุ่นจากแดดในช่วงกลางวัน และหนาวเย็นแบบห่มผ้าห่มอุ่นในช่วงกลางคืน นอกจากจะอากาศดีแล้ว ยังตรงกับช่วงครึ่งปีหลัง ที่ในเมืองมีกิจกรรมและการเฉลิมฉลอง พร้อมเข้าสู่ปีใหม่อีกด้วย มาดูกันว่าในเมืองและนอกเมือง จะมีอะไรน่าสนใจออกไปเที่ยวกันบ้าง ติดตามกันเลย


⛅️ สภาพอากาศและภาพรวม ⛅️



Photo by visit.brisbane.qld.au

      นับว่าเป็นช่วงอากาศที่เราค่อนข้างชอบที่สุดเลยก็ว่าได้ ฤดูใบไม้ผลิจะเริ่มต้นอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 15-25 องศาฯ อบอุ่นจากแสงแดดในช่วงกลางวัน มีฟ้าสว่างยาวนานกว่าฤดูอื่นๆ และมีลมเย็นปะทะตัวพอที่จะใส่เสื้อ ท้องฟ้าปลอดโปร่ง เมฆน้อย อากาศเย็นสบายเดินเล่นได้ทั้งวัน  อีกทั้งเป็นช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ Daylight Saving Time (DST) ในวันที่ 1 ตุลาคมของทุกรัฐ (ยกเว้นควีนส์แลนด์) ทำให้เวลาเร็วขึ้นไปข้างหน้า 1 ชั่วโมงเมื่อเข็มนาฬิกาตกไปยังเวลาตี 2 ในเช้ามืดคืนนั้นเอง เวลาจะถูกผลักไปตอนตี 3 อัตโนมัติ และถูกถอยกลับเข้าไป 1 ชั่วโมง ในตอนตี 3 ของวันที่ 2 เมษายน ซึ่งจะย้อนเวลาถอยกลับไปตอน 2 นาฬิกาเหมือนเราได้เวลานอนเพิ่มอีก 1 ชั่วโมงในคืนนั้น



Photo by pixabay.com

น้ำมูกและน้ำตาไหล, คัดจมูก, จามต่อเนื่อง คืออาการภูมิแพ้ที่อาจจะเกิดขึ้นกับร่างกายในช่วงฤดูใบไม้ผลิยาวไปช่วงหน้าร้อนเลย อาการที่เกิดขึ้นเรียกว่า Hay Fever หรือภาษาไทยเรียกว่า ไข้ละอองฟาง ซึ่งเกิดจากที่พืชพันธุ์เบ่งบานเป็นพื้นที่กว้าง โดยเฉพาะผู้คนที่อยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้า ป่าไม้ ทำให้เกสรดอกไม้กระจายตามลมที่พัดมา ใครก็ตามที่มีภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัว โปรดระวังฤดูกาลนี้อย่างดี โดยเฉพาะช่วงเช้าตรู่ อย่าลืมพกยาติดตัว และหลีกเลี่ยงการตากเสื้อผ้าที่โล่งกว้าง ซึ่งเกสรดอกไม้สามารถติดตามเสื้อผ้าได้ รวมไปถึงหากเป็นไปได้ในวันที่ลมแรง ก็หลีกเลี่ยงการใช้ชีวิตนอกบ้านไปก่อน หรือหากมีความจำเป็นจริงๆ การพกหน้ากากอนามัยก็ช่วยลดอาการแพ้เกสรได้ ซึ่งรู้หรือไม่ ชาวออสเตรเลียมากถึงสามล้านกว่าคน มีอาการ Hay Fever ในช่วงฤดูนี้ ถือว่าเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว


📸 กิจกรรมที่น่าทำ 📸



Photo by pixabay.com

      ปั่นจักรยานรอบเมือง รับลมชมวิวธรรมชาติสองข้างทาง ช่วง Spring เป็นช่วงที่ต้นไม้ดอกไม้เบ่งบานได้ดีที่สุด โดยเฉพาะที่ City Botanic Garden สำหรับใครที่ไปในช่วงกลางวันในตอนฤดูร้อนอาจจะมีแสบผิว แต่ฤดูกาลนี้เราสามารถปั่นจักรยานรอบๆสวน เพื่อแวะชมดอกไม้ที่สวยงามรับแสงแดด ถ้าเหนื่อยก็แวะพักใต้ร่มเงาต้นไม้ หรือขับออกมาจากสวน ไปยังเส้นทางเลียบแม่น้ำบริสเบนฝั่ง South Bank Parkland ลัดเลาะไปเรื่อยๆ ไปยัง Kangaroo Point Cliff หน้าผาธรรมชาติที่ในอดีตได้นำหินบริเวณนี้ มาใช้ในการก่อสร้างอาคารและโบส์ถในอดีต เช่นที่ St Martin's House ที่ Ann Street หรือจะเป็นที่ Cathedral of St Stephen บน Elizabeth Street โดยมีชื่อหินบริเวณนี้เฉพาะว่า 'Brisbane Tuff'




Photo by pixabay.com

แน่นอนว่ายังเป็นช่วงฤดูกาลที่ดอกไม้เบ่งบาน รวมไปถึงดอก Jacaranda หรือชื่อภาษาไทยว่าดอกศรีตรัง ดอกไม้ที่มีสีม่วงที่เบ่งบาน ประดับตามจุดต่างๆของเมือง โดยเฉพาะในสวนสาธารณะ เวลาเดินไปตามท้องถนนเห็นเหมือนพื้นเปื้อนสีม่วงเป็นหย่อมๆ ก็ขออย่าได้ตกใจ นอกจากนี้ยังมีพืชพันธุ์อื่นๆที่เบ่งบานในช่วงฤดูกาลนี้ ไม่ว่าจะเป็นดอกเฟื่องฟ้า (Bougainvillea), ลีลาวดี (Frangipani), ดอกพุด (Gardenia), ดอกแปรงล้างขวด (Bottlebrush) และพืชดอกอื่นๆ




Photo by visit.brisbane.qld.au

      อากาศตอนเช้าในช่วงฤดูกาลนี้แสนเย็นสบาย เหมาะที่จะเดินเล่น Farmer Market ยามเช้า วันหยุดสุดสัปดาห์ตามจุดต่างๆในเมืองก็จะมีตลาดนัดชุมชน ที่เหล่าชาวสวนนำผลผลิตทางการเกษตรมาจำหน่าย ไม่ว่าจะเป็นเนื้อสัตว์, ผักผลไม้ตามฤดูกาล, ดอกไม้สด วัตถุดิบอาหารในราคาที่ไม่แพง รวมไปถึงพ่อค้าแม่ค้าที่จำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม ไม่ว่าจะเป็นเบอร์เกอร์, เบเกอรี่, โดนัท, กาแฟ หากไม่ได้ซื้อของติดมือกลับบ้านไป อย่างน้อยต้องได้ของกินอิ่มท้องในยามเช้า


Farmer Market ก็มีตั้งแต่ที่ Jan Powers Farmers Markets จัดขึ้นที่ Brisbane Powerhouse เป็นตลาดยอดนิยมในย่าน New Farm มีร้านค้ามากมาย ตั้งร้านทุกวันเสาร์ตอน 6 โมงเช้าถึงเที่ยง และที่ Manly ตลาดเปิดเฉพาะวันเสาร์แรกของเดือน6 โมงเช้าถึงเที่ยงเช่นกัน
ส่วนเช้าวันอาทิตย์ จะเป็นเวลาของ Riverside at the Gardens Market จัดขึ้นใน City Botanic Gardens เลย ตั้งร้านตั้งแต่ 8 โมงเช้าถึงบ่าย 3 ตลาดนี้เน้นสินค้าพวกเสื้อผ้าแฟชั่น เครื่องประดับ งานฝีมือ รวมไปถึงดนตรีสดให้ฟังท่ามกลางต้นไม้ในสวน หรือตัวเมืองฝั่งตะวันตกก็จะมี Milton Markets เปิดแผงในทุกวันอาทิตย์ตอน 6 โมงเช้าถึงเที่ยง และพิเศษในทุกวันพฤหัสฯที่หนึ่งและสามของเดือนอีกเช่นกัน


Farmer Market เองไม่ได้มีแค่ในรอบตัวเมือง CBD เพียงอย่างเดียว ออกไปนอกเมืองอย่างเช่นที่ Cleveland Markets ตลาดนัดที่เก่าแก่ที่สุดในบริสเบน, The Green Shed Market ย่าน Mt Tamborine, Beenleigh Craft and Farmers Market ที่อยู่ระหว่างทางไป Gold Coast หรือจะที่ Carseldine Farmers & Artisan Markets ที่ตั้งอยู่ในบริเวณ QUT Campus เก่า วันหยุดสุดสัปดาห์เดินทางไปมืองไหน อย่าลืมที่จะแวะ Farmer Market เลือกซื้อสินค้าท้องถิ่นตามฤดูกาลได้




Photo by theweekendedition.com.au

      เบื่อแล้วใช่มั้ยกับการต้องเลือกหาร้านอาหารใหม่ๆด้วยตัวเอง ทั้งที่ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือเปล่า วันไหนว่างๆไปลิ้มลองอาหารรสชาติใหม่ ที่ร้านอาหารรอบตัวเมือง กับ Kiff & Culture Local Tour ที่จะจัดทริปตะลอนทานของอร่อยตามฤดูกาล ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงเบียร์ ไร่ไวน์ ที่นอกจากจะรสชาติอร่อยแล้ว ยังได้ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญ ที่จะมาบรรยายที่มาของอาหารและเครื่องดื่มแต่ละอย่าง ให้เราทานได้อร่อยยิ่งขึ้น นอกจากจะได้ทานของอร่อยพร้อมเรื่องราวในบริสเบนแล้ว ยังมีทริปเลือกไปที่ Byron Bay, Gold Coast หรือจะเป็นที่ Tamborine ใครที่ชอบค้นหาของอร่อย ท่ามกลางอากาศดีๆแบบนี้ หาเวลาและชวนเพื่อนไปพร้อมกันหลายๆคนยิ่งสนุกขึ้น อ่านรายละเอียดต่อได้ที่ kiffandculture.com.au


🌾 อาหาร/วัตถุดิบน่าลอง 🌾



Photo by pixabay.com

Asparagus: นี่คือฤดูกาลผลผลิตของหน่อไม้ฝรั่งอย่างแท้จริง เราอาจจะคุ้นเคยกับการนำไปผัดเป็นเหมือนผัดผัก หรือย่างทานคู่กับสเต็ก จริงๆแล้วหน่อไม่ฝรั่งสามารถนำไปทำอาหารได้หลากหลายเมนู โดยเฉพาะ "Asparagus Quiche" หรือเค้กพายอบ ที่สามารถเสิร์ฟทานได้ทั้งแบบร้อนและแบบเย็น



Strawberries: หลังจากฤดูหนาวที่ผ่านไป เข้าสู่ฤดูกาลพืชพันธุ์ที่ต่างออกดอกออกผลอย่างเต็มที่ หนึ่งในผลผลิตที่หาได้ง่ายคือ ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ต่างๆ ที่ยอดนิยมเลยคือสตอเบอรี่ โดยผลผลิตจะเริ่มออกมาในช่วงเดือนสิงหาคม ลากยาวจนถึงเดือนพฤศจิกายนก่อนเข้าหน้าร้อน แม้ว่าจะเป็นผลไม้ที่หาทานได้ทั้งปี แต่สตอเบอรี่ในช่วงฤดูกาลนี้เป็นช่วงที่มีความหวานและชุ่มฉ่ำมากที่สุด เรียกว่าดีที่สุดเลยก็ว่าได้ เป็นผลไม้ที่ทานเปล่าๆได้ก็อร่อยอยู่แล้ว หรือจะไปรังสรรกับเมนูอื่นๆ เช่น ของหวาน, เค้ก และไอศกรีม



Mangoes: มะม่วง ผลไม้ในดวงใจของใครหลายคนด้วยรสชาติที่หวาน ทานแล้วสดชื่นดับร้อนได้ ฤดูกาลของมะม่วงเกิดขึ้นช่วงเดือนกันยายนยาวไปถึงหน้าร้อนเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ทานผลไม้ในรสชาติที่ดีที่สุด สามารถนำไปทำเมนูอื่นๆได้หลากหลาย ไม่ว่าะทานคู่กับโยเกิร์ต, ใส่สลัด หรือจะทำเป็นน้ำปั่น



Avocados: ผลไม้ที่หาซื้อได้ง่าย ราคาไม่แพง นิยมทานเป็นอาหารเช้าไม่ว่าะทานคู่กับขนมปังปิ้ง, สลัด หรือจะมาทำ "Guacamole" ไว้ดิป เป็นผลไม้ที่มาพร้อมกับคุณประโยชน์มากมายและปลูกได้ทั้งปี โดยเฉพาะช่วงเดือนสิงหาคมจนถึงเดือนพฤศจิกายน คือช่วงที่สามารถออกผลผลิตได้ดีที่สุดในบริสเบน 



Peas: อีกพืชผลตามฤดูที่น่าสนใจไม่แพ้กัน นั่นก็คือพืชตระกูลถั่ว เป็นพืชที่สามารถอยู่ในแทบแทุกจานอาหาร ไม่ว่าจะเป็นอาหารคาว หวาน สลัด พาสต้า ฯลฯ


🏙 สถานที่ที่ต้องไป 🏙



Photo by museumofbrisbane.com.au


      พาไปปีนเขาเข้าป่ามาเยอะแล้ว พาไปทุ่งดอกไม้ ชมความสวยงามของดอกไม้ที่เบ่งบานทั้งในเมืองและนอกเมือง เริ่มต้นกันที่ดอก Jacaranda ที่เบ่งบานเต็มที่ในช่วงปลายกันยายน จนถึงตุลาคม กับจุดชมวิวยอดนิยมอันได้แก่ที่ New Farm Park สวนสาธารณะที่อยู่ในตัวเมือง มีความหลากหลายทางพืชพันธุ์ รวมไปถึงต้น Jacaranda เป็นหย่อมๆในสวน หรือจะเป็นที่ University of Queensland : St Lucia Campus ที่เดินทางได้ด้วยรถสาธารณะ ไม่ไกลจากตัวเมือง สามารถตั้งกล้องถ่ายรูปบนถนนที่มีดอก Jacaranda เต็มสองข้างทาง ทั้งต้นและร่วงเต็มพื้น หรือจะเป็นวิวที่ถ่ายรูปริมแม่น้ำที่ Kangaroo Point ที่มีเส้นทางวิ่งปั่นจักรยานเลียบเส้นทางแม่น้ำ จาก Maritime Museum Ferry Terminal ไปยัง Captain Burke Park ตลอดความยาวกว่า 2 กิโลเมตร นอกจากจะมีสีม่วงอ่อนสวยงามแล้ว ดอก Jacaranda ยังมีอีกสายพันธุ์ที่มีสีขาวนวลอีกด้วย สามารถไปชมได้บริเวณสนามเด็กเล่นใน Roma Street Parkland




Photo by floatingimages.com.au


      ท้องฟ้าสดใสแบบนี้ เหมาะอย่างยิ่งที่จะพาเพื่อนหรือคนที่เรารัก มาท้าทายความสูงพาขึ้นบอลลูน ชมวิวมุมสูง ท่ามกลางท้องฟ้าเปิดโล่ง ชมความเขียวขจีอันแสนงดงามเบื้องล่างของเมืองในรูปแบบ 360 องศา ที่เมือง Ipswich เมืองเล็กๆ ที่มีความสวยงามที่ไม่เล็กเลย ซึ่งการพาขึ้นบอลลูนชมวิวที่นี่ สูงพอที่จะสามารถมองเห็นทั้งเมือง Ipswich,  Scenic Rim และ Somerset ขึ้นบอลลูนครั้งเดียวเหมือนได้เที่ยวทั้ง 3 ภูมิภาค หรือถ้าติดใจล่ะก็ ลองเปลี่ยนวิวขึ้นบอลลูนอีกจุดที่ Gold Coast สิ่งที่พิเศษมากกว่าวิวเบื้องล่าง คือการพาขึ้นบอลลูนในช่วงเช้าตรู่ มองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นอีกด้วย เพิ่มความโรแมนติกได้ยิ่งขึ้นไปอีก


🎊 เทศกาลพิเศษที่ห้ามพลาด 🎊

Brisbane Festival 2023





Photo by brisbanefestival.com.au

      เทศกาลแห่งภาพยนตร์ ดนตรี ศิลปะ และการแสดงที่จัดขึ้นประจำทุกปีในเดือนกันยายน ในปีนี้จัดขึ้นในวันที่ 1-23 กันยายน ยาวนานถึง 3 สัปดาห์ต่อเนื่องเลยทีเดียว งาน Brisbane Festival เริ่มต้นจัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1961 ​เป็นเทศกาลที่รวมทุกศาสตร์ของงานศิลปะเข้าไว้ในเมืองเดียว เปิดโอกาสศิลปินและหน่วยงานในแวดวงศิลปะทั้งในและต่างประเทศ ได้นำเสนอผลงานและความสามารถ ทั้งในรูปแบบ Art Performance, ดนตรีสด รวมไปถึงการจัดแสดงงานศิลปะตามจุดต่างๆ บุคคลทั่วไปมีโอกาสเข้าถึงความสวยงามของงานศิลปะที่ผสมผสานกับเมืองได้อย่างลงตัว



Photo by brisbanefestival.com.au

งานที่เป็นไฮไลท์ประจำปีที่หลายคนต่างรอคอยนั่นคือ Riverfire การแสดงพลุแสงสีเสียงสุดอลังการ ที่บริเวณแม่น้ำบริสเบน และ Story Bridge โดยงานนี้จะจัดขึ้นในคืนวันที่ 2 กันยายน สามารถจับจองที่นั่งริมแม่น้ำบริเวณ South Bank Parklands หรือถ้าอยากชมแบบใกล้ชิด ต้องบริเวณ Wilson Outlook Reserve ย่าน New Farm จะสามารถมองเห็น Story Bridge ได้อย่างชัดเจน ในส่วนของรายละเอียดกิจกรรม สามารถติดตามต่อต่อได้ที่ www.brisbanefestival.com.au ในช่วงเวลาใกล้ๆ


Brisbane International Film Festival (BIFF)


      เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติบริสเบน ปีนี้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 29 ในวันที่ 26 ตุลาคม - 5 พฤศจิกายน เทศกาลเริ่มจัดขึ้นตั้งแต่ปี 1992 งานที่จะจัดแสดงภาพยนตร์นานาชาติที่ได้รับรางวัล รวมถึงภาพยนตร์ระดับโลกของออสเตรเลีย และภาพยนตร์อิสระที่หลากหลายมากกว่า 100 เรื่อง อีกทั้งเป็นงานที่เฉลิมฉลองความก้าวหน้าและได้ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมภาพยนตร์ของประเทศและของโลก ให้ผู้คนทั่วไปได้เปิดโลกวงการภาพยนตร์ให้กว้างขึ้น ภายในงานนอกจากฉายภาพยนตร์แล้ว ยังมีกิจกรรมและการพูดคุย จากผู้คนจากวงการทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักแสดง ทีมงาน ผู้เชี่ยวชาญและผู้กำกับ ใครที่ทำงานในสายนี้ หรือมีความสนใจ งานระดับโลกแบบนี้ไม่ควรพลาด ใครที่สนใจงานในปีนี้ล่ะก็ ติดตามต่อได้ที่ https://biff.com.au/


Toowoomba Carnival of Flowers



Photo by tcof.com.au

      Toowoomba เมืองตั้งอยู่ไม่ไกลจากตัวเมืองบริสเบน เพียงขับรถเพียงชั่วโมงครึ่ง ตลอดทั้งเดือนกันยายน ตั้งแต่วันที่ 1-30 จะได้พบกับเทศกาลดอกไม้และความสนุกประจำปีที่เมือง Toowoomba เทศกาลที่ทั้งเมืองจะถูกประดับประดาด้วยสีสันแห่งฤดูใบไม้ผลิครั้งยิ่งใหญ่ประจำปี มีทั้งการจัดแสดงดอกไม้นานาชนิดทั้งตามต้องถนนและสวนสาธารณะ ดึงดูดผู้มาเยือนจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาที่เมืองนี้ ที่ Queens Park สวนขนาดใหญ่ที่เต็มไปด้วยพฤกษศาสตร์นานาชาติ, Laurel Bank Park สวนสาธารณะที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสนามเด็กเล่นหรือพื้นที่ปิกนิกสำหรับทำ Barbie และ Japanese Garden. ‘Ju Raku En’ สวนสไตล์ญี่ปุ่น ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1989 เรียกได้ว่าสวนเหล่านี้คือจุดที่ต้องแวะมาเยือนในเทศกาล Toowoomba Carnival of Flowers



Photo by tcof.com.au

นอกจากประสบการณ์ชมดอกไม้แล้ว ยังมีขบวนรถพาเหรด Toowoomba Carnival of Flowers ที่จะนำรถมาตกแต่งด้วยลวดลายดอกไม้ ที่สวยงามและสร้างสรรค์ จัดขึ้นในวันที่ 16 กันยายน ตั้งแต่ 10.00 โมงเช้าถึงเที่ยงตรง อีกทั้งยังมีเทศกาลอาหารและไวน์ (Festival of Food & Wine) ที่จะมานำเสนออาหารและไวน์จากวัตถุดิบท้องถิ่น มีดนตรีสดเล่นภายในงานอีกด้วย เฉพาะงานอาหารและไวน์จะจัดในวันที่ 8,9 และ 10 กันยายน เท่านั้น เรียกได้ว่า สนุกได้ทั้งเดือนกันยายนเลย สามารถอ่านรายละเอียดงานเพื่อวางแผนเที่ยวต่อได้ที่ tcof.com.au


อ้างถึง

https://www.australia.com/en/facts-and-planning/weather-in-australia/brisbane-weather

https://visit.brisbane.qld.au/inspiration/things-to-do-in-spring

https://visit.brisbane.qld.au/inspiration/brisbane-best-farmers-markets

https://brisbanekids.com.au/jacarandas-brisbane-find-year/

https://brisbanekids.com.au/flower-experiences-flower-fields-near-brisbane/

https://www.theurbanlist.com/brisbane/a-list/hot-air-ballooning-brisbane

https://tophealthdoctors.com.au/2020/10/07/did-you-know-3-million-australians-struggle-through-spring-and-summer-with-hay-fever/

12


❄️ ยินดีต้อนรับผู้อ่านเข้าสู่บทความ เที่ยวตามฤดู The Series ❄️

มาสู่ตอนที่สองของ เที่ยวตามฤดู The Series จากตอนก่อนที่เหล่าถึงฤดูใบไม้ร่วงกันไป ในครั้งนี้จะมาพูดเรื่องสถานที่และกิจกรรมที่น่าสนใจในช่วงฤดูหนาว (Winter) ที่กำลังจะใกล้เข้ามาถึงอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ประเทศออสเตรเลียเป็นดินแดนที่มีความหลากหลายทางภูมิศาสตร์ ทำให้ในช่วงหน้าหนาวเราสามารถออกไปหาอะไรทำได้มากมาย ไม่ใช่แค่หลบลมหนาวอยู่ในบ้าน หรือเที่ยวแค่ในตัวเมืองบริสเบนเพียงอย่างเดียว จะมีที่ไหน ที่น่าออกไปเที่ยวหรือออกไปทำล่ะก็ ติดตามต่อกันได้


⛅️ สภาพอากาศและภาพรวม ⛅️



Photo by Tahlia Doyle on Unsplash

      ตัวเมืองบริสเบนตั้งอยู่ในเขตที่มีความร้อนชื้นและอบอุ่นมากกว่าเมื่อเทียบกับรัฐทางตอนใต้ ในช่วงหน้าหนาวสภาพอากาศจะมีความแห้งและหนาวเย็นลง โดยมีอุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ 11 - 21°C โดยเฉพาะตอนกลางคืนนั้นอุณหภูมิสามารถลดลงมาเป็นเลขตัวเดียวถึง 9°C ใครที่ชื่นชอบอากาศหนาวในประเทศไทย หรือชอบท่องเที่ยวตามดอยในภาคเหนือ ขอบอกเลยว่าไม่มีปัญหาอย่างแน่นอนกับการอยู่หน้าหนาวที่บริสเบน ฤดูหนาวกำหนดอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายนจนถึงสิงหาคมของทุกปี แน่นอนว่า Winter ในตัวเมืองบริสเบน เราคงไม่สามารถเจอหิมะโปรยปรายเหมือนกับประเทศเมืองหนาวอื่น แต่ถ้าลงไปในย่าน Stanthorpe บริเวณ Granite Belt ทางตอนใต้ของรัฐ เคยมีรายงานว่าในบางปี อาจเจอหิมะเล็กๆร่วงในเมืองนี้เช่นกัน


📸 กิจกรรมที่น่าทำ 📸



Photo by orangesmile.com

      ถึงแม้ว่าลมจะพัดอย่างหนาวเย็น แต่ในตอนกลางวันก็เป็นช่วงที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง แสงแดดจ้า (ถ้าไม่นับตอนฝนกำลังจะตก) ทำให้ฤดูหนาวก็เป็นอีกหนึ่งฤดูที่เหมาะกับการออกไปท่องเที่ยวนอกตัวเมืองแบบไม่มีเหงื่อกวนใจ

เริ่มจากการไปสนุกกับเครื่องเล่นผาดโผนใกล้ๆกับ Gold Coast รู้หรือไม่ว่าแต่ละแห่งมีเครื่องเล่นที่ถูกจัดอันดับที่สุดของโลกเลย อย่างเช่นที่ Dream World สวนสนุกที่เต็มไปด้วยเครื่องเล่นอันผาดโผน ชวนหวาดเสียวอย่าง “The Tower of Terror 2” รถไฟเหาะตีลังกาที่มีความสูงและติดอันดับ Top 5 เครื่องเล่นที่มีความเร็วมากที่สุดในโลกเลย มาต่อกันที่ WhiteWater World สวนน้ำที่มีเครื่องเล่นมากมาย โดยเฉพาะ Slides ที่ติดอันดับ 1 ใน 4 Water Slide ที่ดีที่สุดของโลก ต่อกันที่ Wet’n’Wild สวนน้ำที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ มาต่อที่ Warner Bros. Movie World Theme Park ที่เอาใจแฟนๆ Super Hero จากค่าย Warner Bros. โดยเฉพาะ Superman และการ์ตูนเรื่องอื่นๆอย่าง Looney Tunes, Bugs Bunny, Daffy Duck หรือจะเป็น Scoopy-Doo ท่ามกลางเครื่องเล่นผาดโผนสุดเร้าใจ จบด้วย Sea World ที่นอกจากจะมอบความสนุกจากเครื่องเล่นแล้ว ที่นี่ยังมีการแสดงโชว์จากสัตว์และจุดจัดแสดงสัตว์ใต้น้ำ ที่มอบความรู้ทางทะเลให้กับเด็กๆหรือผู้ที่สนใจ เหมาะสำหรับการมาเป็นครอบครัว แต่ละที่ควรใช้เวลาเต็มวัน ถ้าอยากจะเก็บทั้งหมด บอกเลยว่าเป็นเดือน



Photo by Georg Wolf on Unsplash

      และอีกสิ่งที่เป็นไฮไลต์ในช่วงหน้าหนาวเลย นั่นก็คือการชมวาฬ (Whale Watching) กันบริเวณ Sunshine Coast เพราะเป็นช่วงเดือนที่ Humback Whale หรือวาฬหลังค่อมอพยพ ย้ายถิ่นฐานเพื่อหนีหนาวจากทางตอนใต้ มาเจอกับกระแสน้ำที่อุ่นกว่าทางต้นบน ทำให้เราสามารถพบเจอพี่ๆเค้าไปทั้งจากบนบกและใต้น้ำ อย่างเช่นการ Snorkelling บริเวณผิวน้ำ ว่ายตามวาฬแบบใกล้ชิดระยะสายตาพร้อมผู้เชี่ยวชาญ จาก Mooloolaba โดยเฉพาะช่วงเดือนมิถุนายน - กรกฏาคม เป็นช่วงเดือนที่มีโอกาสเจอพี่วาฬว่ายน้ำขึ้นทางตอนเหนือได้มากที่สุด ถ้าใครไม่อยากลงน้ำก็สามารถมองเห็นวาฬโต้คลื่น โชว์พ่นน้ำและโบกหางได้ จากบนเรือที่มีทัวร์แบบ 1 day trip พาออกนอกชายฝั่งไปยังจุดชมวาฬที่ Hervey Bay ได้เช่นกัน


🌾อาหาร/วัตถุดิบที่น่าลอง 🌾



Photo by Wouter Meijering on Unsplash

      เข้าหน้าหนาว อากาศแปรปรวนแบบนี้ สิ่งที่ให้ความสำคัญเป็นพิเศษ นั่นคือเรื่องของสุขภาพ การทานอาหารที่มีประโยชน์ ก็ช่วยทำให้ร่างกายปราศจากโรคที่เกิดขึ้นตามฤดู อย่างเช่นไข้หวัดได้ มาดูกันว่าในฤดูนี้ มีผลผลิตอะไรที่จะช่วยเสริมสร้างร่างกายให้มีภูมิต้านทานที่ดีบ้าง



Citrus Fruits: ฤดูหนาว คือฤดูกาลของผลไม้รสเปรี้ยว โดยเฉพาะส้ม, เลม่อน และผลไม้ตระกูล Grapefruit ซึ่งผลไม้เหล่านี้เป็นแหล่งที่อุดมไปด้วยวิตามิน C ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ร่างกายแข็งแรง ทำให้ลดโอกาสที่จะเป็นไข้หวัดในช่วงอากาศที่เย็นแบบนี้ จะทานสดก็ได้ ไม่สูญเสียคุณค่าทางวิตามิน หรือจะแปรรูปก็ดี ทำเป็นน้ำผลไม้ก็ทานง่าย



Root Vegetables : หรือผลไม้ที่มีผลตรงราก ตัวอย่างเช่น มันหวาน, แครอท,หัวผักกาด ฯลฯ ปกติจะพบเจอวัตถุดิบเหล่านี้ในแบบ Side Dish หรือในสลัดก็ตาม แต่วัตถุดิบเหล่านี้ สามารถนำมาทำเป็นซุปหรือสตูได้ กินอุ่นๆท่ามกลางอากาศหนาว ก็ยิ่งทำให้อร่อยขึ้น



Broccoli and Cauliflower: บล็อกโคลี่และดอกกะหล่ำ เติบโตได้ดีเป็นพิเศษในหน้าหนาว เหล่าคนไทยอย่างเราคุ้นเคยกับการนำไปผัดหรือลวก จะกินกับข้าวสวยหรือจิ้มกับน้ำพริก ก็เข้ากันได้ดี 



Brussels Sprouts: หรือถ้าภาษาไทยจะเรียกว่า กะหล่ำดาว ที่ปกติเราจะพบเจอเป็น Side Dish ทานคู่กับเนื้อสัตว์ แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าเบบี้กะหล่ำนี้ มีคุณค่าทางอาหารสูง ทั้งใยอาหารและวิตามิน C สามารถนำไปทำเป็นผัดผัก ทานคู่กับข้าวสวยได้ หรือจะเข้าเตาอบให้นิ่มกรอบ ทานเป็นสลัดได้ก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน




Photo by JESHOOTS.COM on Unsplash

Winter Squash: นี่ไม่ใช่ชื่อผักหรือผลไม้ แต่เป็นการเรียกพืชตระกูลน้ำเต้าที่ออกผลผลิตดีในช่วงหน้าหนาว อันได้แก่ Butternut Squash ฟักทองเทศที่มี รสชาติหวานมัน คล้ายกับฟักทอง, Acorn Squash เหมือนฟักทองลูกเล็ก ที่มีผลคล้ายกับพริกหยวก, และฟักทองผลเหลืองส้ม เราทราบกันดีว่าอุดมไปด้วยวิตามิน A,C และ E มีกากใยอาหาร ให้พลังงานน้อยแต่อิ่มอยู่ท้อง จะทำเป็นซุปอุ่นๆ หรือจะลวก, อบ กินเปล่าๆก็ยังได้


🏙 สถานที่ที่ต้องไป 🏙



Photo by Nick Sarvari on Unsplash


      อีกหนึ่งพื้นที่ที่ควรหาวันหยุด 3-4 วันมาใช้เวลาพักผ่อนกันในช่วงหน้าหนาว นั่นก็คือที่ Sunshine Coast ชายฝั่งทางตอนเหนือ สามารถขับรถจากตัวเมืองบริสเบนเพียง 2 ชั่วโมง ที่นี่นอกจากจะมีชายหาดชื่อดังอย่าง Rainbow Beach และ Moololaba Beach แล้ว ยังมีทั้งพื้นที่ธรรมชาติ ป่าเขาให้เราออกไปผจญภัยได้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในหน้าหนาวนี้ สามารถชมหมอกจากบนยอดเขาได้อย่างเช่นที่ Glass House Mountains

รู้หรือไม่ว่าในช่วงฤดูหนาว เป็นช่วงที่สามารถเล่น Surf ได้แบบเพอร์เฟคที่สุด เพราะปราศจากคลื่นลมทางเหนือที่มารบกวน ทำให้คลื่นน้ำในช่วงนี้มีความสมูท และสูงใหญ่มากกว่าช่วงไหนๆ จุดที่เหมาะสำหรับการไปเล่น Surf ก็ได้แก่ Alexandra Headland หรือที่ชาวเมืองเรียกสั้นๆว่า ‘Alex’ จะหิ้ว Surf Board มาเล่นเอง หรือจะหาเช่าและลงเรียนคอร์สสั้นๆ ก็ทำได้แถวนี้ หรือจะเป็นที่ Noosa Heads ก็เป็นอีกจุดที่ไม่ใช่แค่เหมาะกับการไปเล่น Surf แต่ยังเหมาะกับการมาพักผ่อนตากอากาศ เพราะยังมีทั้งที่พัก ร้านค้า ตลาด ร้านอาหาร อีกทั้งยังมีเส้นทางเดิน Trail แบบสั้นๆ สามารถมองเห็นวาฬได้ในช่วงฤดูกาลนี้อีกด้วย



Photo by Steven Joel on Unsplash


ส่วนใครที่ไม่อยากกอกไปผจญภัยท้าลมหนาว แต่อยากนอนซุกผ้าห่มสบายๆอยู่กับที่ล่ะก็ ที่ Sunshine Coast ยังมีที่พักบรรยากาศดี ได้พักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ สะดวกสบายในราคาไม่สะเทือนกระเป๋าตังค์มากนัก เช่นที่ Noosa Avalon Farm Cottages บ้านพักที่ตั้งออกมาอย่างเป็นส่วนตัว กับวิวต้นไม้ที่สามารถชมนกสายพันธุ์ต่างๆได้ Glasshouse Mountains Ecolodge ตั้งอยู่ใจกลางอุทยานแห่งชาติ ตื่นมาพร้อม Hiking ต่อได้ทันที



Photo by snowflakesinstanthorpe.com.au

      หากเรียกฤดูหนาวที่สมบูรณ์แบบ คงต้องมีหิมะโปรยปราย และอย่างที่ทราบกันดีกว่าใน Queensland เต็มไปด้วยพื้นที่ร้อนชื้นซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ที่เมือง Stanthorpe บริเวณ Granite Belt เอง แทบจะเป็นเมืองเดียวของรัฐที่มีหิมะที่ตก (เพียงเล็กน้อย) และในปี 2023 นี้เอง ภายในเมืองได้จัดงาน “Snowflakes in Stanthorpe” งานที่จัดขึ้นทุกๆ 2 ปี ครั้ง เป็นการจัดพื้นที่ในเมือง ให้ผู้คนออกมาสนุกกับหิมะที่จัดเตรียมไว้ 3 วันติด ตั้งแต่ 30 มิถุนายน จนถึง 2 กรกฏาคม ไม่ว่าจะเป็น ลานไอซ์สเก็ต, ลานหิมะ ที่พาเด็กๆมาปั้น Snowman ได้, ตลาดจำหน่ายสินค้าและอาหาร รวมไปถึงมีการจัดการแข่งขันประติมากรรมน้ำแข็งและงานพาเหรด ไปสัมผัสบรรยากาศหน้าหนาวใน Queensland ได้ แบบไม่ต้องบินไปเที่ยวที่ไหน


🎊 เทศกาลพิเศษที่ห้ามพลาด  🎊

Ekka 2023



Photo by ekka.com.au

      เทศกาลประจำปีที่ไม่มีใครไม่รู้จักเลยทีเดียว กับงานที่มีชื่อเต็มๆว่า The Royal Queensland Show เทศกาลที่จัดขึ้นใหญ่ที่สุดใน Queensland มีกิจกรรมมากมาย จากจุดเริ่มต้นของงานที่ต้องการโชว์ศักยภาพทางการเกษตรและปศุสัตว์ประจำปีที่จัดกันมาตั้งแต่ปี 1876 ต่อมารูปแบบงานได้ปรับให้เข้ากับยุคสมัยมากขึ้นจนถึงปัจจุบัน แต่ยังคงแนวคิดหลักของงานเหมือนเดิม เริ่มตั้งแต่โชว์แข่งขันทางการเกษตร เช่นการแข่งขันการตัดไม้ (Woodchop), จัดแสดงทางปศุสัตว์ไม่ว่าจะเป็นวัว, ม้า, แกะ, แพะ รวมไปถึง สุนัขและแมว มาประกวดสวยงามและทักษะความสามารถแบบไม่ได้มาตั้งให้ดูเฉยๆ มาพร้อมกับโชว์สุดพิเศษให้ผู้เข้าร่วมตื่นเต้นไปพร้อมกัน นอกจากโชว์แล้ว ภายในงานยังมีความสนุกอื่นๆจากเครื่องเล่น อย่างชิงช้าสวรรค์ ม้าหมุน ไวกิ้ง สไลเดอร์ และมีเกมส์ต่างๆ ประหนึ่งงานวัดเลยทีเดียว งานนี้มีผู้เข้าร่วมมากถึง 400,000 คนในแต่ละปี และในปี 2023 นี้จัดขึ้นในวันที่ 12-20 สิงหาคม จัดที่เดิม Brisbane Showgrounds ย่าน Bowen Hills จะนั่งบัสหรือรถไฟ หรือจะสัญจรมาด้วยรถยนต์ก็ได้เช่นกัน

The Curated Plate


Photo by thecuratedplate.com.au

      เทศกาลอาหารท้องถิ่นประจำปีอันยิ่งใหญ่ที่จัดขึ้นถึง 10 วันติดที่ Sunshine Coast เพื่อนำเสนออุตสาหกรรมอาหารท้องถิ่น เป็นการรวมตัวของผู้คนในวงการอาหารตั้งแต่ต้นทางอย่างเกษตรผู้ผลิตวัตถุดิคุณภาพ จนถึงเชฟมืออาชีพจากทั่วโลกที่รังสรรเมนูอาหาร อีกทั้งหน่วยงานในแวดวงอาหารระดับประเทศให้ได้มาเจอกัน เป็นงานที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้ใหม่ๆในวงการ และบุคคลทั่วไปที่แม้ว่าไม่ได้อยู่ในวงการอย่างใกล้ชิด แต่มีความสนใจที่อยากจะซื้อวัตถุดิบ และลิ้มลองรสชาติท้องถิ่นแบบแท้จริงล่ะก็ สามารถเข้าร่วมงานได้อย่างไม่มีข้อแม้ เพียงมีค่าเข้างานและค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมในแต่ละกิจกรรม ทั้งหลักสิบจนถึงหลักร้อยเหรียญ งานจัดขึ้นในหลากหลายสถานที่ ภายใน Sunshine Coast แล้วแต่ Session งานมีตั้งแต่วันที่ 28 กรกฏาคม - 6 สิงหาคม เข้าไปอ่านรายละเอียดงานได้ที่ https://thecuratedplate.com.au/events/program สนใจ Session ไหน กดลงทะเบียน ซื้อบัตรเข้างานได้เลย รับรองว่าจะได้ลิ้มรสชาติอาหารแบบใหม่ แบบที่ไม่เคยลิ้มลองมาก่อน

Gold Coast Marathon



      งานวิ่งมาราธอนครั้งยิ่งใหญ่ประจำเมือง สำหรับนักวิ่งทั่วประเทศที่อยากท้าทายตัวเอง บนเส้นทางอันสวยงามใน Gold Coast ไฮไลต์คือการได้วิ่งเลียบชายหาดแบบฟินๆ พร้อมลมเย็นปะทะหน้าในระยะทาง 42 km. เริ่มต้นเส้นทางกันที่ Broadwater Parklands วิ่งลงไปยัง Main Beach - Surfer Paradise - Miami Beach และสุดทางที่ Burleigh Beach ก่อนวิ่งกลับตัวไปยังจุดเริ่มต้น นอกจากนี้ยังมีระยะทางสำหรับนักวิ่งทั่วไปอย่าง Half Marathon 21 km. และนักวิ่งสมัครเล่น Fun Run 5 และ 10 km. ใครที่อยากสัมผัสบรรยากาศของ Gold Coast ในรูปแบบใหม่ ที่ไม่ใช่แค่มาอาบแดดหรือเล่น Surf ล่ะก็ อย่าพลาดงานนี้ งานจัดขึ้นในเช้าวันที่ 1-2 กรกฏาคม ลงทะเบียนเข้าร่วมได้ที่ https://goldcoastmarathon.com.au/ เหนื่อยแต่คุ้มค่ากับชัยชนะที่เส้นชัย


อ้างถึง
https://www.australia.com/en/facts-and-planning/weather-in-australia/brisbane-weather

https://www.queensland.com/au/en/places-to-see/destinations/brisbane/why-visit-brisbane-in-winter

https://www.queensland.com/au/en/places-to-see/destination-information/p-56b25d9a2880253d74c4504b-alexandra-headland

https://www.australia.com/en/facts-and-planning/when-to-go/australias-seasons/winter.html

https://www.queensland.com/au/en/plan-your-holiday/accommodation/sunshine-coast-hinterland-accommodation

https://www.australia.com/en/places/gold-coast-and-surrounds/theme-parks.html

https://www.australia.com/en/things-to-do/wildlife/meet-the-great-barrier-reef-marine-animals.html

https://sunreef.com.au/sunshine-coast-whales/

https://www.ekka.com.au/

thecuratedplate.com.au

https://www.snowflakesinstanthorpe.com.au/

13



🍂 ยินดีต้อนรับผู้อ่านเข้าสู่บทความ เที่ยวตามฤดู The Series 🍂

โดยเราจะมานำเสนอสิ่งที่น่าสนใจใน Queensland ว่ามีอะไรน่าทำ น่าเที่ยวกันในแต่ละฤดูที่เกิดขึ้น ในตอนแรกนี้เราจะมาเริ่มต้นที่ฤดูใบไม้ร่วง หรือ Autumn ฤดูที่กำลังเกิดขึ้นในตอนนี้ เรามาเตรียมพร้อมกันดีกว่าว่าเราจะจัดแพลน วางแผนวันหยุดสั้น หรือวันหยุดยาว ออกไปผจญภัยที่ไหนบ้างทั้งในตัวเมืองบริสเบนหรือตัวเมืองรอบนอกกันบ้าง รับรองว่าบางอย่างเราอาจจะไม่เคยรู้ว่ามาก่อน ว่าเกิดขึ้นที่นี่

⛅️ สภาพอากาศและภาพรวม ⛅️



Photo by Photo by Timothy Eberly on Unsplash

      ตามกำหนดการฤดูใบไม้ร่วงจะอยู่ในช่วงเดือนมีนาคม-พฤษภาคม ก่อนที่จะเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมิถุนายน สภาพอากาศถือว่ากำลังดี เหมาะกับการทำกิจกรรมนอกบ้าน เพราะแดดไม่ร้อนจนเกินไป และลมไม่หนาวเย็นรุนแรง อีกทั้งเป็นช่วงที่ใบไม้กำลังเริ่มเปลี่ยนสี บรรยากาศรอบตัวเริ่มเปลี่ยน เหมาะมากที่จะหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกับธรรมชาติ ต้นไม้ใบไม้ตามสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติ อุณหภูมิเฉลี่ยจะอยู่ที่ 25-28°C ในช่วงกลางวัน และจะลงมาถึง 12-14°C ในตอนกลางคืน เรียกได้ว่าเป็นช่วงอากาศที่เย็นสบายดีเลยทีเดียว การแต่งตัวในช่วงฤดูกาลนี้สบายๆ เสื้อยืดกางเกงขายาว อาจจะเตรียมแจ็กเก็ตสักตัว เผื่อเจอลมหนาว หรือเจอฝนเย็นๆได้ ในช่วงเปลี่ยนถ่ายถ่ายฤดู ดังนั้นควรเตรียมร่มให้พร้อม


📸 กิจกรรมที่น่าทำ 📸



Photo by therugbyleagueexperience.com.au

      ช่วงฤดูกาลนี้ตรงกับการแข่งขันกีฬารักบี้สไตล์ออสซี่ หรือที่เรียกแสลงกันว่า ‘Footy’ กับ National Rugby League (NRL) โดยแข่งขันกันระหว่างรัฐในประเทศ ไม่ว่าจะเป็น New South Wales, Queensland, Victoria, the Australian Capital Territory รวมถึงประเทศเพื่อนบ้าน New Zealand ซึ่งบริสเบนเราเองก็มีทีม Brisbane Broncos เป็นทีมตัวแทนของรัฐ และจะมีการแข่งขัน NRL Magic Round จัดกันแบบสดๆที่ Suncorp Stadium ในช่วงวันที่ 5-7 พฤษภาคมนี้ เมืองทั้งเมืองจะไร้ความวุ่นวาย เพราะทุกคนพร้อมใจกันอยู่หน้าจอหรืออยู่ที่สนามกีฬา อย่าลืมเชียร์กีฬาให้ทีมบริสเบนของเราด้วยล่ะ




Photo by Tania Richardson on Unsplash

      อากาศดีๆแบบนี้ เหมาะมากสำหรับการออกไปท่องโลกกว้าง โดยเฉพาะทะเลและชายหาด อาทิเช่น Whitsunday, Great Barrier Reef เพราะเป็นช่วงที่น้ำเย็นสบาย แดดไม่แรงจนเกินไป สภาพใต้น้ำเหมาะสำหรับการออกไปดำน้ำ ชมความสวยงาม หรือถ้าออกไปเที่ยวทะเล ชายหาดใกล้ตัวเมืองหน่อยก็ Morton Island, North Stradbroke Island, Gold Coast, Sunshine Coast และ Noosa Beach อีกทั้งช่วงปลายๆ Autumn เป็นช่วงเริ่มต้น ที่สามารถชม Humpback Whale วาฬที่มุ่งหน้าย้ายถิ่น มาโชว์ตัวกันให้เห็นกลางทะเล อยากจะไปชมก็สามารถมองหาทัวร์ Whale Watching ได้มากมาย ตามบริษัทท่องเที่ยว




Photo by downundertours.com

      ส่วนใครที่อยากเที่ยวแบบชิลๆ นั่งชมวิวสองข้างทาง ลองจัดทริปนั่งรถไฟดู กับเส้นทางสายท่องเที่ยว Kuranda Scenic Railway บนรางรถไฟที่ผ่านสถานที่ท่องเที่ยวได้รับการขึ้นทะเบียนสถานที่โบราณ (Heritage-Listed) บนระยะทางยาว 37 กิโลเมตร ที่เริ่มต้นจาก Kuranda Station วิ่งผ่าน Barron Gorge National Park มีการแวะหยุด เพื่อชมน้ำตก Barron Falls และน้ำตกอื่นๆ อย่าง Stoney Creek Falls ผู้โดยสารจะเต็มอิ่มไปกับวิวธรรมชาติทั้งสองฝั่งจนถึงสถานี Freshwater Railway Station เปิดประสบการณ์ใหม่ในการท่องเที่ยว


🌾อาหาร/วัตถุดิบที่น่าลอง 🌾



Photo by Aaron Burden on Unsplash

      เริ่มต้นกันที่ Pumpkin Soup ซุปฟักทอง ซึ่งฟักทองเองเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูกาลนี้ อีกผลผลิตทางการเกษตรอื่นๆ ที่เกิดขึ้นในฤดูกาลนี้ ได้แก่แอปเปิ้ล ลูกพลับ เกาลัค ซึ่งสามารถประยุกต์เป็นเมนูต่างๆได้ อาทิเช่น พายแอปเปิ้ล อีกทั้งผลไม้จำพวกที่มีผลใต้ดิน เช่น มันหวาน, แครอท ก็หาปลูกขึ้นเยอะ สามารถนำเข้าเตาอบ ใส่น้ำมันมะกอก โรยเกลือพริกไทย คลุกเคล้าให้เข้ากัน ทานเป็นมื้ออาหารที่ดีต่อสุขภาพไม่น้อย




Photo by Alex Munsell on Unsplash

      ถ้าใครชอบทานโปรตีนแล้วก็ ต้องลองเนื้อแกะ แม้จะเป็นเนื้อที่มีกลิ่นเฉพาะตัว แต่สามารถปรุงอาหารได้หลายเมนู ไม่ว่าจะทำเป็นการย่างเป็นสเต็ก หรือเข้าเตาอบอบ ทานคู่กับผักอบตามฤดูกาล ต่อมาก็คืออาหารทะเลต่างๆ ที่มีคุณภาพที่ดี สด กรอบ จากน้ำที่เย็นตามฤดู เมนูที่แนะนำก็มี กุ้งย่าง, ปลากระพง และ Moreton Bay Bugs ที่มีลักษณะคล้ายกับตัวกั้ง แต่หาได้เฉพาะแถบมหาสมุทรอินเดีย
ถ้าเป็นหมวดเครื่องดื่ม ต้องยกให้ Cider เพราะเป็นเครื่องดื่มที่ทำมาจากผลแอปเปิ้ล ลูกแพร์ หรือขิง สามารถหาทานได้ตามร้านบาร์เครื่องดื่ม


🏙 สถานที่ที่ต้องไป 🏙



Queens Park, Toowoomba
Photo by mustdobrisbane.com



      อากาศดีๆ เราต้องออกไปหาอะไรทำนอกบ้าน เริ่มต้นง่ายๆจากตัวเมือง คงนี้ไม่พ้นที่ Southbank Parklands ชายหาดจำลองและสระน้ำใจกลางเมือง ที่ผู้คนทั่วไปสามารถไปแช่ตัว เล่นน้ำ อาบแดด ได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย อีกทั้งยังมีเครื่องเล่น สนามเด็กเล่น ร้านค้า ร้านอาหาร พร้อมรองรับสำหรับทุกเพศทุกวัย เดินออกไปเล็กน้อย สามารถเข้าไปชมงานศิลปะที่ Queensland Art Gallery และ Queensland Museum ได้อีกด้วย

หรือจะพาตัวเอง ออกไปนั่งปิกนิกตามสวนสาธารณะใกล้บ้าน เพื่อดูใบไม้เปลี่ยนสีที่ Queens Park และ Ju Raku En Japanese Gardens ใน Toowoomba เป็นสวนที่สามารถชมใบเมเปิ้ลสีทองอร่ามได้สวยงามอีกจุดนึง

ท้องฟ้าจะเปิดโล่งเป็นพิเศษในช่วงฤดูกาลนี้ ทำให้สามารถมองเห็นวิวในระยะไกลได้ โดนเฉพาะจาก Mount Coot-tha จุดชมวิวมุมสูงของเมือง ที่เราสามารถ Take วิว Panorama ตั้งแต่กลางวันจนถึงยามค่ำคืน ขับรถได้จากตัวเมืองไม่ไกลมาก




Girraween National Park
Photo by granitebeltwinecountry.com.au

      หรือจะพาตัวเองและเพื่อน ไปแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาตินอกตัวเมือง ออกไปเดินป่า สูดอากาศบริสุทธิ์จากต้นไม้ได้อย่างเต็มปอด อย่างเช่นที่ Bunya Mountains National Park มีเส้นทางเดินป่า ท่ามกลางต้นสน Bunya ตั้งแต่ 500 เมตร จนถึง 10 กิโลเมตร หรือจะเปลี่ยนบรรยากาศ มาดูความมหัศจรรย์ของธรรมชาติด้วยตาตัวเอง กันที่ Girraween National Park กับหินก้อนขนาดยักษ์ ที่สามารถตั้งตระหง่านอยู่ที่สูงท่ามกลางลมที่พัดแรงได้อย่างไม่น่าเชื่อ

แม้ว่าอากาศจะเย็นสบายแบบนี้ เราอาจจะชะล่าใจในเรื่องการปกป้องผิว เมื่อออกจากบ้านควรจะระมัดระวังแสงแดดที่ทำร้ายผิว อย่าลืมเตรียมพร้อมตัวเอง ทาครีมกันแดดใส่หมวก เพื่อการท่องเที่ยวกลางแจ้งได้อย่างสบายใจ ไร้ผิวไหม้และฝ้ากระสะสม


🎊 เทศกาลพิเศษที่ห้ามพลาด  🎊





Photo by https://www.feastofthesenses.com.au/

      ช่วงนี้เรียกว่าเป็นฤดูของเทศกาลประจำปีเลยก็ว่าได้ ไม่ว่าจะเป็นเทศกาลด้านอาหารและการเกษตร อย่าง The Feast of the Senses เทศกาลผักและผลไม้อันหลากหลาย และแน่นอนว่าถ้าคิดถึงผลไม้อย่างทุเรียน ขนุน มังคุด ล่ะก็ หาได้ในงานนี้ งานจัดขึ้นทางตอนเหนือของ Queensland นอกจากนี้ยังมีการจำหน่ายเนื้อสัตว์, ซีฟู๊ด, สมุนไพรต่างๆ รวมไปถึงไวน์ ซึ่งเป็นผลผลิตที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูกาลและผลิตจากคนในพื้นที่ ในปีนี้งานจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วัน 23-26 มีนาคม จัดขึ้นในตัวเมือง Innisfail ในหลากหลายจุด




      อีกเทศกาลอาหาร Noosa Eat & Drink Festival ที่ได้รวบรวมสินค้าและวัตถุดิบจากท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไวน์ ชีส และอาหารจานอร่อย นอกจากนี้ยังเป็นงานที่รวบรวมเชฟและผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารต่างๆ รวมไปถึงบรรณาธิการด้านอาหาร ให้เกียรติมาโชว์ฝีมือและให้ความรู้ด้านอาหารภายในงานอีกด้วย งานจัดขึ้นในช่วงเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน ในปีนี้วันยังไม่ถูกเคาะมาอย่างเป็นทางการ สามารถติดตามข่าวสารได้ตามช่องทาง Social Media ของ Noosa Eat & Drink ได้เลย




      อีกทั้งยังมีการแข่งขันระดับโลกอย่าง World Surf League World Championship Tour ที่จัดขึ้นที่ Gold Coast เป็นการรวมนักเล่น Surf มืออาชีพจากทั่วโลก มาโชว์ลวดลายท่าทางการโต้คลื่น สุดแสนน่าทึ่งเพื่อชิงชนะเลิศประจำปี การแข่งขันนี้ไม่ได้จัดแค่ใน Gold Coast เพียงแห่งเดียว แต่ยังมีที่ Sydney และประเทศอื่นๆ เช่น สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น, บราซิล, แอฟริกาใต้ ฯลฯ หากอยากไปสัมผัสบรรยากาศจริงล่ะก็ ขับรถไปชมการแข่งได้ริมชายหาดที่ Gold Coast ได้ตั้งแต่วันที่ 6-13 พฤษภาคมนี้เลย




      Julia Creek Dirt n Dust หรือเรียกสั้นๆว่า The Dirt n Dust Festival จัดขึ้นที่ Julia Creek ย่าน Townsville เรียกได้ว่าเป็นงานที่รวมความสุนกทุกอย่างที่สามารถทำได้ ไม่ว่าจะเป็นการจัดแข่งขันไตรกีฬา (Triathlon) ซึ่งเป็นหัวใจหลักของงาน, การแข่งม้าเร็ว (Horse Races), การขี่วัวพยศ (Bull Rides), แข่งว่ายน้ำในห้วย (Bog Snokelling) รวมไปถึงแข่งประกวดบั้นท้ายสวย! (Best Butt Competition) และปิดท้ายด้วยงานคอนเสิร์ตแนว Country

ความเร้าใจเของการแข่งไตรกีฬางานนี้ นั่นก็คือสนามแข่งที่ท้าทายอันดับต้นๆของประเทศ อีกทั้งยังมีผู้เข้าร่วมมากถึง 3,500 คนเลยทีเดียว รวมถึงนักไตรกีฬาที่มีชื่อเสียงระดับโลก ก็ให้ความสนใจเข้ามาแข่งขันด้วย ความน่าทึ่งคืองานนี้คือการที่เคยมีผู้ชนะที่เป็นคนเดียวกันถึง 5 ครั้ง คนนั้นคือ Sam Betten เทศกาลนี้จัดขึ้นช่วงเดือนเมษายนสามวันติด ในปีนี้ตรงกับวันที่ 21-23 เมษยน ถึงแม้ร่างกายไม่ได้แข็งแรงขนาดคุณ Sam ถึงขนาดลงแข่ง แต่บุคคลทั่วไปสามารถเขาไปจอยความสุขภายในงานได้




      ในส่วนของงานประจำปีอย่าง World Science Festival และ Curiocity Brisbane เทศกาลสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องราวเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ โดยในปี 2023 นี้ ทั้งสองงานจัดควบคู่กัน เพื่อเป็นการนำวิทยาศาสตร์ประยุกต์ออกมาเป็นงานศิลปะต่างๆ ให้เราได้ทึ่งและค้นหาที่มา งานจัดขึ้นในวันที่ 22 นี้จนถึง 26 มีนาคมเฉพาะงานของ World Science Festival ส่วน Curiocity Brisbane จัดต่อเนื่องไปยาวๆถึง 2 เมษายน หากมีโอกาสไปเดินเล่นในตัวเมืองบริสเบนล่ะก็ อย่าลืมแวะเวียนเข้าไปชมภายในงานนี้


นี่คือส่วนหนึ่ง ที่เกิดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง และยังมีกิจกรรมและความสนุกอีกมากมายเกิดขึ้นภายใต้อากาศที่เย็นสบายแบบนี้

อ้างถึง
อ้างอิง
https://traveltriangle.com/blog/autumn-in-queensland/
https://www.australia.com/en/facts-and-planning/weather-in-australia/brisbane-weather.html
https://en.wikipedia.org/wiki/Kuranda_Scenic_Railway
https://www.feastofthesenses.com.au/
https://www.noosaeatdrink.com.au/
https://www.worldsurfleague.com/
https://dirtndust.com/
https://en.wikipedia.org/wiki/Dirt_n_Dust_Festival
https://www.worldsciencefestival.com.au/
https://www.worldsciencefestival.com.au/curiocity-brisbane

14



      ‘กาแฟ’ หนึ่งในเครื่องดื่มอันยอดนิยมของชาวออสซี่ ที่ไม่ว่าคุณจะเดินไปบนถนนแห่งไหน ตามเมืองใหญ่ๆในออสเตรเลีย อย่างน้อยจะต้องมีร้านกาแฟ 1 แห่ง ตั้งอยู่หัวมุมถนนที่คุณสามารถแวะเวียนเข้าไปจิบกาแฟ ด้วยเม็ดเงินกว่า 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ คือมูลค่าอุตสาหกรรมกาแฟที่เกิดขึ้นในออสเตรเลีย นับว่าเป็นประเทศที่ผู้คนดื่มกาแฟสูงมากเลยทีเดียว แต่มีอีกสิ่งที่วัฒนธรรมการดื่มกาแฟของผู้คนที่นี่ แตกต่างกับประเทศอื่น คือมากกว่า 95% ของร้านกาแฟ เป็นร้านที่ตั้งขึ้นโดยคนท้องถิ่น ไม่ใช่ร้านกาแฟแบรนด์ดังอย่างเช่นแเบรนด์นกเงือก ที่สามารถตีตลาดได้สำเร็จในทุกหัวเมืองใหญ่หลายประเทศ ยกเว้นที่ออสเตรเลีย ทำให้ร้านกาแฟแต่ละร้านมีสไตล์และรสชาติของเมล็ดกาแฟที่หลากหลาย ไม่เหมือนใคร คอกาแฟอย่างเราก็แฮปปี้ ตื่นมาพร้อมกับการได้ดื่มกาแฟที่ไม่จำเจ และไม่น่าเบื่อ

ที่บริสเบนเองมีร้านกาแฟหลายร้าน ที่ผุดขึ้นมาตามการขยายตัวของเมือง ในวันนี้เราจะมาแนะนำร้านกาแฟสุดฮิป หรือจะเป็นร้านสุดชิล ที่อบอวลไปด้วยกลิ่นเมล็ดกาแฟที่ถูกบดและชงอย่างพิถีพิถัน เผื่อเป็นทางเลือกให้ Coffee Lover อย่างเรา ได้ทานกาแฟรสชาติใหม่ๆ จะมีที่ไหนบ้างติดตามกัน



The Coop Espresso Bar

Google Maps: https://goo.gl/maps/4u8gu4GbCDR37Vo37





Image from theweekendedition.com.au

      ร้านกาแฟเล็กๆ ที่มีเพียงเคาท์เตอร์บาร์ แต่เต็มไปด้วยผู้คนเดินมาสั่งกาแฟแบบ Take Away และพูดคุยที่แสนเป็นมิตรระหว่างที่รอ ร้านตั้งอยู่บนถนน Eagle Street ใจกลางเมืองบริสเบน จุดที่พลุกพล่านไปด้วยคนทำงานในช่วงเวลาเช้าตรู่ โลโก้ร้าน Coop Espresso เลือกใช้ “นก” ผสมผสานกับตัวอักษร C ที่เป็นตัวอักษรแรกของชื่อร้าน ได้อย่างน่ารัก สื่อถึงความสนุกสนานและเป็นกันเองของร้าน นอกจากกาแฟที่เป็นเมนูหลักแล้ว ยังมีเมนูของว่าง อาหารเช้าให้รองท้อง เช่น Apple Crumble Danishes, Saucy Salami Toastie หรือจะ Jaffle Sandwiches ก็น่าอร่อยไม่แพ้กัน​


John Mills Himself

Google Maps: https://goo.gl/maps/4vsybGU6XPdcgH3t9



Image from en.wikipedia.org



Image from fivesenses.com.au

      อีกร้านกาแฟที่แฝงตัวหลบอยู่ในอาคารอิฐ แต่เมื่อเข้าไปก็จะได้พบกับบรรยากาศที่คงไว้ซึ่งความวินเทจจากตัวอาคารที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นอาคารโบราณของเมือง ซึ่งแน่นอนว่าชื่อ “John Mills” คือชื่อบุคคลเจ้าของธุรกิจโรงพิมพ์ที่มีชื่อเสียงในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 และเป็นเจ้าของอาคารแห่งนี้นี่เอง และต่อมาได้พัฒนาอาคารให้เป็นร้านกาแฟสุดเท่ เจ้าของจึงได้นำชื่อตึกมาเป็นชื่อร้านจนถึงทุกวันนี้ นอกจากที่เราจะสามารถสั่งกาแฟนั่งทานภายในร้านเล็กๆนี้แล้ว ใครที่ไม่ดื่มกาแฟ ก็ยังมีตัวเลือกเครื่องดื่มอย่าง ชา ช็อกโกแลตร้อน และขนมอบต่างๆให้เราได้ทาน อยากมาสัมผัสรสชาติและบรรยากาศที่แตกต่างเสมือนย้อนเวลา ต้องมาที่นี่เลย



      มุมเล็กๆระหว่างอาคาร จุดที่ใครเดินผ่านไปมา ถ้าไม่สังเกตให้ดีคงจะไม่เห็นว่ามีร้านกาแฟเล็กๆแฝงตัวอยู่ แต่เมื่อได้แวะสั่งเครื่องดื่มสักแก้ว ก็ทำให้ทั้งวันของเรานั่น สดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้ ร้านตั้งอยู่ใต้บันไดหนีไฟข้างอาคาร บนถนน Mary Street กับการตกแต่งร้านที่ดูดิบเปลือย แต่เรียบง่าย และกลมกลืนไปกับพื้นที่ เป็นร้านกาแฟที่เหมาะกับ Grab & Go แต่ถ้ามีเวลาสักนิด ลองทานเมนูขนมอื่นๆของเค้า ไม่ว่าจะเป็น Croissant, Banana Bread, Cinnamon Roll อาจจะเปลี่ยนใจ มานั่งใช้เวลากับมุมข้างตึกนี้นานขึ้นได้


Bellissimo Coffee

Google Maps: https://goo.gl/maps/2bkcp51rxEMVqM2X6 (Fortitude Valley)





Image from https://www.facebook.com/BellissimoCoffeeAU/


      จากร้านกาแฟเล็กๆ ย้ายร้านนมาสูดกลิ่นกาแฟรางวัลระดับประเทศกันที่ Bellissimo Coffee ร้านที่เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ปี 2009 และได้รับรางวัลชนะเลิศโรงคั่วกาแฟของประเทศ ในปี 2010 ถึงปี 2013 จนปัจจุบันหน้าร้านได้เปิดทั้งคาเฟ่และโรงคั่วกาแฟให้ลูกค้าที่เข้ามาทานกาแฟ และได้มองเห็นกระบวนการคั่วกาแฟที่ทำตรงหน้า รับกลิ่นหอมๆ ของกาแฟแบบสดๆ ไม่ปรุงแต่ง ความพิเศษที่เหนือกว่าร้านท้องถิ่นทั่วไป คือความหลากหลายของเมล็ดกาแฟที่คัดเลือกมา อีกทั้งที่นี่เสิร์ฟทั้งเมนูของคาวและหวาน ทั้งเบเกอรี่และ Toast หวานฉ่ำหลายเมนู จะพาหวานใจไปนั่งทานขนมในเดือนแห่งความรักก็เป็นอีกร้านที่น่าสนใจ หรือใครไปชิมแล้วติดใจในเมล็ดกาแฟ ก็สามารถซื้อกาแฟสดติดมือกลับมาชงเองที่บ้านก็ได้เช่นกัน  ปัจจุบันมีทั้งหมด 3 สาขา ทั้งในเมืองที่ Fortitute Valley, Bulimba และ Coorparoo สะดวกสาขาไหน จูงมือคนรัก หรือจะพาเพื่อนไปจิบกาแฟ ทานอาหารกันในวันหยุดได้เลย


Blackstar Coffee

Google Maps: https://goo.gl/maps/3kMpvWLogFAMSxX86 (Original Store)





Image from https://www.facebook.com/blackstarcoffee

      หากคุณกำลังมองหาร้านกาแฟนั่งในยามเช้า พร้อมกับ Brunch อร่อยๆตรงหน้าอยู่ล่ะก็ ลองแวะเวียนมาที่นี่ Blackstar Coffee ร้านตั้งอยู่บริเวณ West End ไม่ไกลจากตัวเมือง เรื่องราวของร้านนี้ก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ที่นี่แทบจะเป็นโรงคั่วกาแฟแห่งแรกๆของเมือง ที่เติบโตมาพร้อมกับชุมชนมาตั้งแต่ปี 2008 ผ่านมาสิบกว่าปี ที่นี่ยังคงมีความต้ังใจ ที่อยากจะนำเสนอคุณค่าและความอร่อย ผ่านการคัดเลือกเมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ และการคั่ว อีกทั้งยังมีเมนูอาหารทานง่ายๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่แวะเวียนในทุกรูปแบบ นอกจากจะมีหน้าร้านดั้งเดิมที่ West End แล้ว ปัจจุบันได้ขยายไปสาขาใหม่ที่มีชื่อว่า Contessa by Blackstar Coffee ตั้งอยู่ตรงข้ามกับ Roma Street Station โดยเน้นจำหน่ายกาแฟในรูปแบบ Cold-Pressed บรรจุลงขวด พร้อมดื่มทุกที่ทุกเวลา ด้วยรสชาติที่คงไว้ซึ่งคุณภาพและความสะดวก



      ร้านกาแฟ Specialty ที่คัดสรรเมล็ดกาแฟจากออสเตรเลียและหลากหลายประเทศทั่วโลก จากโรงคั่วชั้นนำของประเทศ ทำให้มีกลื่นและรสชาติของกาแฟที่หลากหลาย ร้านตั้งอยู่บนถนน Charlotte Street ตั้งอยู่ในอาคาร INTERSECTION PROJECT โซนที่มีร้านเบเกอรี่ติดกันข้างๆ น่าลองชิมอย่าง The Whisk

Coffee Anthology ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2004 นอกจากที่จะมีตัวเลือกของเมล็ดกาแฟแล้ว ยังมีเมนู Brunch สุดจะ Yummy น่าสั่งสักจานสองจานอีกด้วย วันไหนอยากจะหิ้วหนังสือมานั่งอ่าน เอาการบ้านมาทำที่ร้าน ก็เป็นอีกร้านที่มีบรรยากาศน่านั่งเช่นกัน เมนูที่ต้องสั่งสำหรับคอกาแฟ คือ 1+1 ซึ่งเป็นเมนูที่ใช้สัดส่วนกาแฟและนมผสมกันในสัดส่วนที่ลงตัว



      เมื่อคุณเดินอยู่ใจกลางเมืองบนถนน George Street แน่นอนว่าคงได้พบกับผู้คน การจราจร และตึกอาคารที่ล้อมรอบตัว แต่เมื่อเลี้ยวเข้ามาที่ร้าน Coffee Iconic จะได้พบกับบรรยากาศสวนหย่อมอันแสนสงบมาหลบมุม หนีออกจากความวุ่นวาย ท่ามกลางป่าคอนกรีตภายนอก ด้วยร้านที่ตกแต่งด้วยต้นไม้ มีความร่มรื่น แถมยังแฝงมุมน่ารักๆ ด้วยการตกแต่งร้านและเฟอร์นิเจอร์ให้ดูน่านั่งแบบทิ้งตัว มอบความรู้สึกให้เหมือนนั่งทานกาแฟที่สวนบ้านเพื่อน ที่นี่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนัดเพื่อนฝูง หามุมนั่งพูดคุยกันสบายๆ หรือนั่งปรึกษาการทำงานกัน เพราะนอกจากจะมีเมนูกาแฟแล้ว ยังมีเมนูอาหารหลากหลาย ให้เราทานอิ่มเป็นมื้อเลยทีเดียวเชียว


รู้หรือไม่...แม้ว่าที่ประเทศนี้จะมีการผลิตกาแฟ, คั่วกาแฟ และมีร้านกาแฟเป็นจำนวนมาก แต่เมล็ดกาแฟที่เราได้ดื่มกัน ส่วนใหญ่ยังนำเข้ามาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศบราซิล,​โคลัมเบีย และเวียดนาม สามประเทศเจ้าใหญ่ของโลกที่ส่งออกเมล็ดกาแฟอย่างกว้างขวาง และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญก่อนจะไปร้านกาแฟคือเวลาเปิดและปิด ร้านกาแฟที่ออสเตรเลียจะเปิดในช่วงเช้าตรู่ช่วง 6-7 โมงเช้า และปิดในช่วงบ่าย 2-3 โมง (หากร้านเค้าไม่ได้มีเมนู Dinner ต่อนะ) ตื่นให้เช้า ปลุกตัวเองด้วยคาเฟอีนแก้วร้อนๆสักแก้ว เริ่มต้นวันให้กระปรี้กระเปร่ากันเถอะ


อ้างถึง
อ้างอิง
https://www.visitbrisbane.com.au/
https://www.mustdobrisbane.com
https://coffeeaffection.com/australia-coffee-statistics/

15


Happy New Year ผู้อ่าน ThaiBrisbane ทุกคน เข้าสู่ปีใหม่ทั้งที เริ่มต้นวันใหม่ เป็นธรรมเนียมที่ต้องหาอะไรใหม่ๆให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น การตั้งเป้าหมายในชีวิตใหม่ การซื้อของใหม่ ปรับเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัว ให้พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดใส รวมไปถึงหากิจกรรมใหม่ๆ เพื่อสร้างความสุขหรือพัฒนาศักยภาพตัวเอง วันนี้เราจะมาแชร์งานอีเว้นท์ที่น่าสนใจประจำปี 2023 ในบริสเบน ให้เราได้มาร่วมสนุก มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง

สนุกกับกิจกรรมแสนท้าทาย

MONSTER TRUCK MANIA LIVE BRISBANE 2023
Brisbane Entertainment Centre





      เริ่มต้นปีกันด้วยโชว์สุดผาดโผนกับทีม Monster Truck Mania ที่ขนขบวนรถบิ๊กฟุต รถกระบะล้อโตที่ใครหลายคนคุ้นเคยกับภาพของรถบังคับขนาดเล็กในวัยเด็ก แต่ในวันนี้เราจะได้มาเห็นขนาดจริงนับสิบคัน สูงเหนือตัวเรามาจอดเรียงกันมาเบิ้ลเครื่อง พร้อมวาดลีลาแบบที่ใครๆก็คาดไม่ถึง ไม่ว่าจะเป็นการดริฟท์หรือจะตีลังกา โชว์ลวดลายความสามารถได้ไม่แพ้กับ Motorbike หรือรถแข่งอื่นๆเลย อีกทั้งสีสันและดีไซน์ตัวรถที่บอกเลยว่าจัดจ้าน จากของชิ้นเล็กที่เราบังคับเล่นในวัยเด็ก วันนี้เราจะได้มาเห็นกับตากับความยิ่งใหญ่ งานจัดขึ้นในวันที่ 18 กุมภาฯ ที่ Brisbane Entertainment Centre ใครที่ชื่นชอบเครื่องยนต์สี่ล้อแบบนี้ บอกเลยว่าห้ามพลาด พิเศษสำหรับเด็กๆ อายุ 3-14 ปี บัตรเข้าชมราคาราคาพิเศษอีกด้วย


MONSTER JUMP & SPLASH
Sandstone Point Hotel





ที่มาภาพ : visitbrisbane.com.au


      มากันต่อกับกิจกรรมทางน้ำ ที่เหมาะสำหรับครอบครัวหรือผู้ใหญ่อย่างเรา ที่อยากย้อนวัยความสนุกในวัยเด็ก กับสวนน้ำที่มีเครื่องเล่นเป่าลมยาง ไม่ว่าจะเป็นบ้านลม,​ สไลด์เดอร์เป่าลม หรือกำแพงเป่าลม ให้เราได้ทั้งกระโดด ปีนป่าย โลดเล่น ลื่นไถล หรือจะสาดน้ำกันให้สนุกกับเพื่อนๆที่มาด้วยกัน มาคลายร้อนกันในช่วงต้นปีแบบนี้ งานจัดขึ้นที่ Sandstone Point Hotel บนเกาะ Brabie Island เล่นได้รอบละ 2 ชั่วโมง งานจัดขึ้นตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 22 มกราคม สามารถซื้อตั๋วเข้างานได้ที่ https://www.monsterjump.com.au/book/ ใครที่พาเด็กๆที่อายุต่ำกว่า 5 ขวบมาด้วย จำเป็นต้องมีผู้ปกครองดูแลด้วยนะ


สนุกกับดนตรีและงานศิลป์

BIGSOUND 2023
Fortitude Valley



ที่มาภาพ : bigsound.org.au



ที่มาภาพ : concreteplayground.com


      ใครที่ไม่สามารถปฎิเสธความสนุกสนานของเสียงดนตรี คงต้องมาเยือนกับเทศกาลดนตรีขนาดใหญ่ในบริสเบน งานที่รวมศิลปินและวงดนตรีมาถึง 150 ชีวิต มาจัดแสดงตามร้านต่างๆใน Fortitude Valley ย่านแห่งความบันเทิงยามค่ำคืน งานนี้มีทั้งศิลปินหน้าใหม่ จนไปถึงศิลปินเบอร์ต้นๆ มาให้เราปลดปล่อยความสนุกกันสดๆ ไม่ว่าจะเป็น Flume, Rufus du Sol, Gang of Youths, Lime Cordiale, Tash Sultana, DMA’s, Middle Kids, Courtney Barnett, The Teskey Brothers, Sycco ฯลฯ นอกจากความสนุกสนานแล้ว ในช่วงเทศกาลยังมีพาร์ทของการสัมมนา จากศิลปิน หรือบุคคลที่ทำงานในวงการ มาบอกเล่าและวิเคราะห์ถึงอุตสาหกรรมดนตรีในปัจจุบันและอนาคต รวมการจัดบู๊ทพิเศษ เรียกได้ว่างานตอบโจทย์ผู้ที่มีใจรักในดนตรีอย่างแท้จริง ปีนี้งานจัดขึ้น 6-9 กันยายน สามารถเข้าไปอ่านรายละเอียดของงานหรือดู Line Up ศิลปินกันต่อที่ www.bigsound.org.au


YONDER FESTIVAL 2023
Cedar Glen Farmstay




ที่มาภาพ :  queensland.com


      เปลี่ยนบรรยากาศมายังเทศกาลดนตรีในสวน (หรือในป่า) ที่จะยกทัพศิลปินออสซี่ ให้เราได้มาเคลิบเคลิ้มกับการบรรเลงบทเพลง ท่ามกลางธรรมชาติและอากาศกันบริสุทธิ์รอบตัวกันที่ Cedar Glen FarmstayScenic Rim ที่นอกจากจะมีการแสดงดนตรีสดที่เป็นกิจกรรมหลักแล้ว ภายในงานยังมีโชว์งานศิลปะ ที่นำความคิดสร้างสรรค์มาผสมผสานกับธรรมชาติรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น Dance Performance, โชว์กายกรรม, เพ้นท์ร่างกาย, Art Installation รวมถึง Workshop ต่างๆ เรียกว่ามาที่นี่ ได้เสพทั้งดนตรีกับงานศิลปะทั้งสองในเวลาเดียวกัน ปีนี้จัดขึ้นช่วงปลายปี ในช่วงเดือนพฤศจิกายน อ่านรายละเอียดต่อได้ที่ yonderfestival.com

สนุกกับความรู้

WORLD SCIENCE FESTIVAL BRISBANE
Queensland Museum





ที่มาภาพ : visitbrisbane.com.au


      เป็นธรรมเนียมที่เกิดขึ้นเป็นประจำทุกปี กับงานสัปดาห์วิทยาศาสตร์ ที่จัดขึ้นบริเวณ South Bank Parkland จัดขึ้นโดย Queensland Museum ร่วมมือกับ Queensland Government ที่ภายในงานเต็มไปด้วยกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์ ที่ทางคณะต่างๆจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ที่จะพาเรามาเปิดโลกแห่งวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมใหม่ๆ ให้คนที่สนใจโดยเฉพาะน้องๆนักเรียน ผู้มีใจรักในด้านนี้โดยเฉพาะ ได้เข้ามาสัมผัสความสวยงามและความน่าทึ่งของวิทยาศาสตร์ ที่ไม่ได้ไกลตัวเราเลย นอกจากนี้ยังมีการจัดงานบรรยายภายในงาน ที่มีผู้เชี่ยวชาญและนักวิทย์ฯในวงการขึ้นมาเล่าเรื่องราวในแวดวงวิทย์ฯที่อัพเดทในปีนี้ งานจัดขึ้นในช่วง 22-26 มีนาคมที่กำลังจะมาถึงนี้ อ่านรายละเอียดงานต่อได้ที่ www.worldsciencefestival.com.au ที่สำคัญงานนี้เข้าชมฟรี


สุขกับของกินอันแสนอร่อย

REDFEST STRAWBERRY FESTIVAL
Redlands Showgrounds, Norm Price Park



ที่มาภาพ : gourmandandgourmet.com.au



ที่มาภาพ : https://www.instagram.com/redfeststrawberryfestival/


      ใครที่ชื่นชอบการทานสตรอว์เบอร์รีล่ะก็ ขอบอกเลยว่าอย่าพลาดงานนี้ เทศกาลที่จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1958 วัตถุประสงค์แรกของงาน จัดขึ้นเพื่อโปรโมตสตรอว์เบอร์รี ผลิตผลจากท้องถิ่น เพื่อหารายได้เข้าสู่กลุ่มเกษตรกร รวมถึงระดมทุนส่วนหนึ่งไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศล จนเวลาผ่านไป ผู้คนต่างให้ความสนใจมากขึ้น ทำให้รูปแบบงานที่จัดต้องใหญ่ขึ้น ทำให้ทึกวันนี้ผู้เข้าที่ร่วมงานสามารถลิ้มลองรสชาติผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเบอร์รี่ ทั้งในรูปแบบไอศกรีม, แยม, ไวน์, สโคน ฯลฯ แล้ว ยังมีแข่งกินสตรอว์เบอร์รีที่เป็นธรรมเนียมประจำปีอีกด้วย และสิ่งที่ผู้คนต่างรอคอยไม่แพ้กับการกิน นั่นก็คือกิจกรรม Entertainment ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดนตรีสดจากศิลปิน, โชว์การแสดงและเต้น, กิจกรรม Workshop ต่างๆ, ขนมหวานทานเล่น และเครื่องเล่นต่างๆ คล้ายกับงานวัด ที่เหมาะทั้งผู้ใหญ่และเด็กมาเล่นสนุกกัน รวมไปถึงไฮไลท์โชว์พาเหรดแสงสีเสียง พร้อมพลุที่จุดขึ้นเป็นประจำในทุกปีในยามค่ำคืน โดยในปี 2023 นี้ งานจัดขึ้นในวันที่ 1-3 กันยายน จัดขึ้นที่ Redlands Showgrounds ย่าน Cleveland สามารถติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ redfest.com.au งานนี้มีค่าเข้างานด้วยนะ

MORETON BAY FOOD + WINE FESTIVAL 2023
Apex Park



ที่มาภาพ : visitbrisbane.com.au



ที่มาภาพ : visitmoretonbayregion.com.au


      ใครที่ทำงานอยู่ในแวดวงเชฟหรือร้านอาหาร ขอบอกเลยว่าอย่าพลาดงานนี้ เทศกาลอาหารและไวน์ประจำปี งานที่รวบรวมร้านอาหารคุณภาพ ที่จะมาเปิดบู๊ท รังสรรค์จานอาหารจากวัตถุดิบคุณภาพที่นำมาจากท้องถิ่น ผ่านฝีมือสุดชำนาญ นอกจากจะมีอาหารและเครื่องดื่มให้ทานกันอย่างอิ่มหนำแล้ว ภายในงานยังมีจัดแสดงการทำอาหารจากเชฟมีชื่อเสียง อย่างปีนี้ได้ Alastair McLeod เชฟผู้เป็นพิธีกรรายการโทรทัศน์ Weekender มาเป็น Ambassador ให้กับงานประจำปีนี้ หรือจะเป็นโชว์ดนตรีกลางแจ้งและจุดพลุเฉลิมฉลองภายในงาน นอกจากจะสุขจากอาหารการกินแล้ว ยังสนุกไปกับบรรยากาศภายในงานได้อีกด้วยนะ งานจัดขึ้นที่ Moreton Bay นอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆจากงานนี้อีกด้วย อย่าลืมลางานไว้ล่วงหน้าตั้งแต่วันที่ 4-6 สิงหาคมปีนี้ สามารถอ่านรายละเอียดต่อได้ที่นี่ www.tastesofmoretonbay.com.au


แม้ว่าปีใหม่แล้ว หลายคนยังตั้งเป้าหมายต่างๆไม่ชัดเจน หรือยังค้นหาเป้าหมายไม่เจอ ไม่เป็นไร อย่างน้อยเราได้ออกไปทดลอง สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆให้กับตัวเองได้มากที่สุด เพราะสิ่งที่ได้รับมาเหล่านี้ อาจจะช่วยให้เราเจอ สิ่งที่เป้นเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่เราคาดไม่ถึงมาก่อนก็เป็นได้ ง่ายๆ เพียงแค่เราออกไปใช้ชีวิต

หน้า: [1] 2 3